วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ครั้งหนึ่งในชีวิต โรแทเรียน ไทยแลนด์ ….กับ การประชุมโรตารีสากล 2012 ครั้งที่ 103 @Bangkok



ครั้งหนึ่งในชีวิต โรแทเรียน ไทยแลนด์ ….กับ การประชุมโรตารีสากล 2012  ครั้งที่ 103 @Bangkok
                           โดย อน.กรัณย์ สุทธารมณ์  (สร.เพชรบุรี ภาค 3330 )




การบริการเหนือตนเอง เป็นคติพจน์ที่เป็นหัวใจหลัก ของคนในองค์กรแห่งหนึ่ง ซึ่งเค้าเรียกตัวเองว่า โรแทเรียน(Rotarian)
เช้าวันที่ 5 พฤษภาคม 2555 วันแห่งประวัติศาสตร์ ที่ กล่าวกันว่า คนที่เป็นโรแทเรียน ต้องหาโอกาสซักครั้งในชีวิตโรแทเรียน เข้าร่วมการประชุมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดขององค์กร โรตารี (Rotary) นั่นคือ การประชุมใหญ่โรตารีสากล (Rotary International Convention) และนี้คือ อีกครั้งสำหรับการเดินทางของผม 6-9 พฤษภาคม 2555 ....การประชุมใหญ่โรตารีสากล @ Bangkok

พวกเรา สโมสรโรตารีเพชรบุรี ตื่นเต้นและเตรียมตัวกันอย่างมากที่จะไปเข้าร่วมการประชุมใหญ่ในครั้งนี้  แต่ด้วยภารกิจหน้าที่การงาน นายกสโมสรเพชรบุรีจึงมอบหมายให้ผม อน.กรัณย์ สุทธารมณ์ (อน. ย่อมาจาก คำว่า อดีตนายก) รับหน้าที่สโมสรฯ ไปลงทะเบียนล่วงหน้าแทนอีก 6 ท่าน ก่อน (5 พค.)
ผมออกเดินทางจากเพชรบุรี (12.30น.) มุ่งหน้า เมืองทองธานี สถานถูกเลือกให้เป็นที่จัดงาน เมื่อไปถึงผมเริ่มขับรถสำรวจ Hall ต่างๆ บริเวณเมืองทอง พร้อมตรวจเอกสารก่อนลงทะเบียนให้เรียบร้อย โดยจอดรถใต้อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 มุ่งหน้าที่ อาคาร Hall 1 เมื่อไปถึงพบว่าสถานที่รับลงทะเบียนกว้างขวางมาก และเริ่มพบเห็นบุคคลจากหลากหลายชาติพันธุ์(ดำบ้าง ขาวบ้าง) เดินปะปนกันมากมาย
ผมเริ่มจากเดินไปที่เคาเตอร์ Pre-Registration โดยแจ้งน้องๆเจ้าหน้าที่พร้อมนำรหัส ID ของสมาชิกและเลขรหัสลับที่ได้จากการลงทะเบียนล่วงหน้าให้ จากนั้นเราก็ได้รับเอกสารประกอบการประชุม รวมทั้งหมด 7 ชุด และไปเค้าเตอร์ต่อไปเพื่อรับถุงผ้าโรตารี พร้อมรับ Sim Card Mobile Phone ซึ่งโทรออกได้ประมาณ 100 บาท จากนั้นจึงไปเค้าน์เตอร์ฝั่งตรงข้ามเพื่อไปรับแถบผ้าสำหรับแสดงสัญลักษณ์เพื่อติดคู่กับป้ายชื่อลงทะเบียน ที่นี้ จะมีแถบป้ายหลายหลากชนิดตามที่เรามีสถานภาพอยู่ เช่น ตำแหน่งของสโมสร Past Club President  Incoming President President  New Memble  หรือเคยบริจาคเงินกองทุนประจำโรตารี Paul Harris เป็นต้น และสามารถขอรับสติ๊กเกอร์ เพื่อติดแสดงลักษณะประจำตัว เช่น Speak English , Japan หรือสติกเกอร์ที่บ่งบอกว่า เราเคยมาการประชุมโรตารีสากลนี้กี่ครั้งแล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเป็นประโยชน์ในการทำความรู้จักซึ่งกันและกันของสมาชิกที่มาจากทั่วโลกให้รวดเร็วมากขึ้น หลังจากนั้นจึงไปรับบัตรรถไฟฟ้า Sky Train (เห็นว่าใช้ได้ 400 บาท ภายใน 3 ปี) และสุดท้ายจึงมาลงทะเบียนที่เค้าเตอร์ที่มีความหมายมาก นั่นคือ การลงทะเบียนผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม Thailand Biggest Smile นั่นเอง

จากนั้นจึงไปเดินสำรวจภาพรวมบริเวณจัดงาน ก่อนเข้าที่พักซึ่งเป็นอพาร์ทเม้นท์ T9 ภายในเมืองทองธานี ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากท่านนายกร่วมรุ่น อน.สวัสด์ (จากสร.บ้านแพ้ว)




เช้าวันที่ 6 พค. 55 พวกเราตื่น 6 โมงเช้า รุดหน้าไปทานอาหารเช้าข้าวมันไก่เจ้าอร่อย พร้อมใส่บาตรพระสงฆ์ (ได้โอกาสนานนานครั้ง เอาซักหน่อย) จากนั้นจึงได้เข้าร่วมงาน พร้อมสมทบกับสมาชิกสร.เพชรบุรี นำโดย นย.ธนัชพร ศรีฟ้า นยล.ธนันท์ธร เทภาสิต อน.ปรีชา มงคลากร อน.บรรเทิง นวมภักดี และรทร.ศรัญญา หอมอรุณ เพื่อเข้าร่วมงานการเปิดการประชุมโรตารีสากล พวกเราเปิดฉากด้วยการถ่ายรูปกับสมาชิกจากหลากหลายประเทศอย่างเมามัน โดยอาศัยการพูดจาภาษามือ และศัพท์พื้นฐาน แต่สังเกตว่าทุกคนต่างยินดีที่จะถ่ายรูป สนทนา และแลกเปลี่ยนนามบัตรกับเรา โดยเฉพาะธงสโมสรของเรา ถือว่าขาดแคลนอย่างมาก ดีที่เรามีของที่ระลึกจากเพชรบุรี มอบให้แก่สมาชิกจากต่างแดนทดแทนอย่างทั่วถึง


 พอได้เวลา 10.00 น. พวกเราได้มีโอกาสร่วมเฝ้ารับเสด็จพระองค์เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ สยามราชกุมารี บริเวณหน้าทางเข้าห้องประชุมใหญ่ จากนั้นพวกเราได้มาตรวจสอบสิทธิ์การเข้าร่วมพิธีเปิด และพบว่าพวกเราจะต้องเข้าการพิธีการเปิดประชุมในรอบบ่าย เวลา 15.45 น. เนื่องจากมีจำนวนผู้เข้าเยอะมากจึงต้องแบ่งพิธีเปิดเป็นสองรอบ พวกเราจึงเคลื่อนขบวนไปทานอาหาร ฝั่งทางเชื่อมอาคาร สลับการเดินพร้อมไปกับการขอเค้าถ่ายรูปตลอดทาง (เล่นเอาสมาชิกสุภาพสตรีเมื่อยขากันไปตามๆกัน)


 เมื่อทานอิ่ม คราวนี้จึงเริ่มเดินไปชมบรรยากาศใน บ้านมิตรภาพ (House of Friendship) คราวนี้ ยิ่งสนุกใหญ่เลย พวกเราได้ร่วมกันถ่ายรูป แลกนามบัตร และแลกธงอีกครั้ง ณ หน้าบอร์ดแลกเปลี่ยนมิตรภาพ สร้างความตื่นเต้นให้กับพวกเราที่ได้มีโอกาสรู้จักโรแทเรียนจากหลากหลายประเทศ อาทิ ฝรั่งเศส ไต้หวัน  ฮ่องกง อเมริกา ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ฯลฯ เราใช้เวลาเป็นชั่วโมง พร้อมไปกับการเดินเล่นในสวนดอกกล้วยไม้ ที่เป็นจุดถ่ายภาพที่สวยงามยิ่ง รวมไปถึงเดินช๊อปปิ้งในบูทต่างๆ โดยเฉพาะบูทจำหน่ายสินค้าโรตารี ซึ่งสามารถดึงเงินจากกระเป๋าไปได้ทุกคน โดยเฉพาะสัญลักษณ์ปีเจ้าภาพ จำหน่ายชิ้นละ 50 บาท


  
จากนั้นจึงได้เวลาเตรียมตัวเข้าร่วมพิธีการเปิดการประชุมในรอบที่สอง เราได้เลือกบริเวณหน้าๆ กลางๆห้อง ซึ่งเห็นได้ว่าห้องประชุมมีขนาดยิ่งใหญ่มาก และที่นี้เราได้รับเห็นพิธีเชิญธงชาติของชาติที่มาร่วมได้อย่างน่าชื่นชม ที่สำคัญคือ การได้รับฟังสุนทรพจน์จากผู้นำสูงสุดของโรตารีสากล มร.คัลยัน บาเนอร์จี ประธานโรตารีสากล (จากสโมสรโรตารีวาปิ จุจารัท ประเทศอินเดีย) ผ่านเครื่องแปลภาษาที่คลื่น 101.70 โดยมีบางถ้อยคำที่น่าสนใจ เช่น "...เราต้องมีความกล้าจะเปลี่ยนแปลงโลก เมื่อใดที่ใครได้ช่วยชีวิต หรือได้ช่วยให้คนมีสุขภาพดีขึ้น นั่นก็หมายความว่าเค้าก็ได้เปลี่ยนแปลงโลกไปแล้ว" จากนั้นเมื่อพิธีเปิดได้จบลง พวกเราได้เดินทางไปที่อพาร์ทเม้นท์ T9 เพื่อหาห้องพักเพิ่ม 1 ห้อง ให้แก่สมาชิกที่มาสมทบ และหลับสบายจาก(การเดิน)ความอ่อนล้า วันนี้ผมได้พักผ่อนกับบัดดี้ อน.บรรเทิง นวมภักดี

เช้าวันที่ 7 พค. 55 ตื่นเช้า 8.00 น. มุ่งหน้าไปที่ อาคารชาเลนเจอร์ เพื่อนำรถไปจอดที่อาคารรับส่งสัมภาระ และเตรียมนำวัสดุสำคัญในการจัดการแสดงวันนี้ของสร.เพชรบุรี มวยตับจากตับจาก จำนวน 25 ชุด ได้ถูกโยกย้ายมาเก็บไว้หลังเวทีรอเวลา 16.45 - 17.00 น. เวลาสำคัญของพวกเรา
จากนั้นจึงได้รับประทานอาหารเช้าในห้องมิตรภาพ  และร่วมถ่ายภาพจำนวนมาก กับทุกชนชาติที่ขวางหน้า จากนั้นได้ไปร่วมการประชุมที่อาคารชาเลนเจอร์ 1-2 ในโอกาสนี้ได้รับฟังแนวคิดจาก มร.มูฮัมมัด ยูนุส ผู้ได้รับรางวัลโนเบล  สาขา สันติภาพ   


เมื่อปิดการประชุมภาคเช้า พวกเราได้แยกกันรับประทานอาหารเพื่อรีบไปรวมตัวปฎิบัติภารกิจสำคัญนั่นคือ กิจกรรม Biggest Smile ซึ่งกิจกรรมที่พวกเราตื่นเต้นกันมาก โดยพวกเราได้ไปรวมตัวกันที่อาคารอารีน่า เพื่อที่จะร่วมเป็น 1 ใน 2012  คน ที่จะสร้างประวัติศาสตร์รอยยิ้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จารึกโดย Believe it or not ก่อนจะเริ่มได้มีตัวตลก(โรแทนเรียนชาวต่างประเทศ) มาแสดงเพื่อเรียกรอยยิ้มให้กับพวกเราได้สนุกสนาน จากนั้นพวกเราจึงได้สวมเสื้อกันฝนที่เจ้าหน้าที่แจก แบ่งเป็นสีน้ำเงิน และสีเหลือง (ซึ่งสีเหลืองมีเยอะกว่ามาก ภายหลังจึงทราบว่าสีน้ำเงินจะแทนที่รูปตาและปาก) จากนั้นพวกเราได้ลงไปพื้นที่ตรงกลางฮอล์ (ซึ่งมีการมาร์คตำแหน่งจุดยืนของสี) ผมได้ยืนในตำแหน่งสีเหลือง และถูกเลื่อนไปเรื่อยๆ จากนั้นจึงได้รู้สึกตัวว่ามาอยู่หลังท่านอดีตประธานโรตารีสากล....ท่านพิชัย รัตตกุล ....ตกใจและตื่นเต้นมาก พร้อมประกบจากโรแทเรียน (น่าจะเป็นปากีสถานนะ)  3.. 2.. 1….ช่างภาพ ประกาศนับเพื่อถ่ายรูปประวัติศาสตร์ ถ่ายจนแน่ใจ จึงแจ้งการสลายตัว ...ต่างคนแยกกันไปถ่ายรูปกันใหญ่




เมื่อเสร็จผมและสมาชิกได้แยกกัน โดยสมาชิกได้ไปเตรียมให้กำลังใจ การแสดงมวยตับจาก และผมได้ไปที่ Hall 8 เพื่อร่วมงานต้อนรับอดีตประธานโรตารีสากลปี 2008-09 คือ ประธานโรตารีสากล ดี. เค. ลี ...."ดี.โอ.เค ..วี.โอ.เคนั่นคือ ถ้อยคำจากอผภ.ประทีป ซิงห์ มาโลตรา  ที่ได้ขึ้นไปกล่าวต้อนรับมิตรภาพจากแดนไกล พร้อมกับตัวแทนของภาค 3330 (นำโดย อน.จารุพรรณ์ คุณพันธ์)  3340 3350 และ 3360  ซึ่งถือเป็นการต้อนรับผู้นำสูงสุดของปีบริหารในคติพจน์ Make Dream Real  สิ่งที่สัมผัสได้คือความใจดีและมิตรภาพจากผู้นำอย่างแท้จิง พวกเราได้มีโอกาสต่อตัวกันเป็นขบวนรถไฟ วิ่งไปรอบบริเวณงาน รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ พร้อมถ่ายรูปกับประธานโรตารีของพวกเราอย่างสนุกสนาน  จากนั้นจึงได้ไปรับประทานอาหารในงาน Host Hospitality Night ใน Hall 1-4  ภายในงานเลี้ยงจัดแบบบุฟเฟ่ต์ขนาดใหญ่ มีอาหารหลากหลายชนิด ประเทศ ผสมผสานกับซุ้มแสดงการสาธิตทำอาหารชนิดต่างๆ ขนาดที่เรียกว่า เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นการจัดบุฟเฟ่ต์ขนาดมหึมาที่รองรับระดับคนเป็นหมื่นคน ในงานตกแต่งด้วยต้นไม้เทียมและงานไม้เพื่อถ่ายทอดออกมาในบรรยากาศของความเป็นไทย แต่สำหรับการรับประทานอาหารนั้น รู้สึกได้ว่ากว่าจะได้ทานก็ต่อคิวทานอาหารกันนานพอดู อาหารอินเดีย ดูเป็นอาหารที่ผมประทับใจที่สุด อาจเป็นเพราะด้วยความแปลกใหม่ รสชาติของเครื่องเทศ รวมถึงเชฟชาวอินเดียมาทำเองจึงทำให้น่าสนใจเป็นพิเศษ และสิ่งที่น่าสนใจในงานอีกอย่าง คือการแสดงขบวนเสลี่ยงไทยชุดใหญ่ในรูปแบบร่วมสมัย เดินขบวนโฉบเฉียวตามพรมที่ปูคาดบริเวณห้องจัดเลี้ยงที่ยาวมาก เวลาล่วงมากว่า 2 ทุ่ม เสียดายที่ผมอยู่ได้เพียง 2 วัน (เพราะมีภารกิจที่ต้องรับผิดชอบที่เพชรบุรี) จากนี้ถ้ามีโอกาสและกำลังทรัพย์ ก็อาจพบกันอีกทีที่ Lisboa Portugal 2013 Rotary International Convention 104th.....พบกันใหม่ RI Convention ....ด้วยไมตรีจิตแห่งโรตารี :))))


วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ก้าวย่างสู่การพัฒนาการศึกษาในระดับสากล....10 ปี สถาบันเซียงซือหู มหาวิทยาลัยชนชาติกวางสี


ก้าวย่างสู่การพัฒนาการศึกษาในระดับสากล....10 ปี สถาบันเซียงซือหู มหาวิทยาลัยชนชาติกวางสี

                                                                                                                                เล่าเรื่อง โดย ดร.กรัณย์ สุทธารมณ์
                                                                                                 คณะกรรมการส่งเสริมกิจการ มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี

นับจากที่ได้รับโทรศัพท์จากท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี   ”...กรัณย์ วันที่ 26-29 เม.ย  ว่างไหม...จะให้ไปจีนหน่อยทันที่ที่ได้ยินแทบไม่นึกฝัน...ซึ่งตอนนั้นเรียกว่าไม่รู้เลยว่าให้ไปทำอะไร แต่ก็ตอบท่านไปว่า ว่างครับ”  

เช้าวันที่ 26 เมษายน 2555 รถตู้ที่มหาวิทยาลัยฯ ติดต่อมาได้มารับที่หน้าโรงแรมรอยัล ไดมอน โดยมี ผศ.ดร.สุทัศน์ นาคจั่น คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เป็นหัวหน้าทีม เรามุ่งหน้าออกเดินทางตั้งแต่เวลา 06.00 น. ไปถึงสนามบินประมาณ 8.00 น. เพื่อไปสมทบกับ ท่าน รศ.ดร.บุญเจริญ ศิริเนาวกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี รวมคณะเราที่ไป มีจำนวน 3 คน โดยมีเป้าหมายคือการเข้าร่วมงานและแสดงความยินดีในโอกาสครบรอบ 10 ปี ของสถาบันเซียงซือหู ภายใต้ในการกำกับของมหาวิทยาลัยชนชาติกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน
เริ่มด้วยการออกจากสนามบินสุวรรณภูมิด้วย สายการบิน Thai Airways ที่ TG 679 มุ่งหน้าสู่สนามบินกวางโจว ระหว่างอยู่บนเครื่องพบคนไทยที่มาด้วย ทราบว่าเค้ามาที่นี้เพื่อมาติดต่อโรงงานผลิตเสื้อผ้า เพื่อไปขายที่ Patinum โดยให้เหตุผลว่ามาที่นี้ได้ครบหมดเลย (One Stop Service) ทั้งการเลือกผ้า แบบ และการตัดเย็บ โดยมีต้นทุนใกล้เคียงเมืองไทย (รวมค่าขนส่งกก.ละ 40 บาท) เมื่อถึงสนามบินกวางโจว พบว่าที่นี้มีผู้โดยสารลงเครื่องมาจำนวนมาก โดยเฉพาะจากประเทศอินเดีย อาหรับจำนวนมาก (อาจเป็นด้วยว่ามาเพราะธุรกิจที่เกี่ยวกับสิ่งทอ อาจารย์ท่านว่า)

ระหว่างมาถึงสนามบิน เราต้องเดินทางไปเปลี่ยนเครื่อง International Transfer to Domestic เพื่อที่จะไปต่อเครื่องไปท่าอากาศยานแห่งเมืองหนานหนิง (BAIYUNPORT) ดีที่เค้ามีบริการรถรับพวกเรา ซึ่งต้องข้ามฝั่งไปอีกฝากหนึ่ง ถือว่ารวดเร็วและสะดวกดี จากนี้นับเป็นช่วงเวลาอันยาวนานที่เราต้องรอถึง 5 ชม. เพื่อที่จะขึ้นเครื่องอีกครั้งในเวลา 20.40 น.
เราได้ไปนั่งพักทานกาแฟ ที่ร้าน ISHIJAHCOFFEE  ในสนามบิน พวกเราทั้งสามคนก็เลือกสั่งกาแฟคนละแก้ว และดีใจกับการที่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต เพื่อที่จะรอเวลาขึ้นเครื่องด้วยการทำงานได้ไปด้วย สรุปกินกาแฟ 3 แก้วเป็นเงิน 214 หยวน  คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1,070 บาท (โอ้แม่เจ้า) หลังจากนั้นพวกเราก็ต่างเดินชมร้านค้าภายในสนามบิน (เวลาเหลือเพียบ) เดินแล้วเดินอีกจนเวลาเย็น พวกเราก็ได้มาทานอาหารกันที่ร้าน YEASUN ซึ่งเมนูส่วนใหญ่เป็นอาหารประเภทเส้น  บริเวณสนามบินมีการแบ่งโซนสำหรับสูบบุหรี่ที่ชัดเจน (สำหรับคนที่ไม่สูบขอแนะนำอย่าได้เยี่ยงกายเข้าไปเลย) และมีโซนให้เล่นอินเตอร์เน็ตฟรี (แต่ช้ามากและเข้าได้เฉพาะบางเว๊ปด้วย) เมื่อใกล้เวลา เราพบว่าบอร์ดแสดงรายการGateที่แรกแจ้งว่าเป็น Boarding Gate B203 ได้มีการเปลี่ยนภายหลังเป็น B07 แทน (ต้องระวังให้ดีนะ มิฉะนั้นอาจตกไฟล์ได้)


มาถึงสนามบินเมืองหนานหนิง เวลาสี่ทุ่มกว่า พอถึงทางออกสนามบิน ก็ได้ยินเสียงเรียกเล็กๆเป็นภาษาไทยว่า อาจารย์ใช่ที่มาจากประเทศไทย ใช่ไหมค่าเด็กสาวหน้าจีน ผมหน้าม้า กล่าว ผมตอบว่า ใช่(สงสัยเพราะหน้าตาเราต่างจากคนที่มาอย่างชัดเจน ซึ่งหลังจากนั้นมา พวกเราได้เรียกว่า อาจารย์ดาว) และก็ได้พบผู้ชายหน้าจีนขาวผมสั้นยิ้มแย้มเป็นมิตร กล่าวแสดงความดีใจปนยิ้มด้วยน้ำเสียงยานๆว่า อาจานสุทานใช่ไหมคับ(ภายหลังพวกเราได้เรียกว่า อาจารย์ขาว)

อาจารย์ขาวและอาจารย์ดาว พาพวกเราไปทานอาหารกันหิวที่ตลาดยามดึก (Night Market) ซึ่ง เค้าบอกว่าที่นี้คนจีนชอบมากินเที่ยวสังสรรค์กัน ภายในตลาดมีร้านขายอาหารมากมาย ส่วนใหญ่เป็นอาหารปิ้งย่าง อาหารกับข้าวต้ม และอาหารทะเล (โดยเฉพาะหอย และสัตว์ทะเลเป็นๆชนิดต่างๆ เช่น กุ้ง ปลา) สำหรับบนโต๊ะอาหารที่สังเกตได้คือ ภาชนะชุดข้าวต้มของทุกร้านจะมีการซีนคลุมภาชนะทั้งชุด และจะใช้กระดาษปูโต๊ะแทนผ้า ซึ่งก็สะดวกและดูสะอาดดี แล้วก็จะมีพวกคนเล่นกีตาร์ คนขายผลไม้ ดอกไม้มาเสนอบริการตามโต๊ะ พวกเรารีบทานอาหารเพื่อที่จะได้รีบกลับไปพักผ่อน เพราะแต่ละคนก็อ่อนเพลียจากการเดินทางกันเต็มที จากนั้นอาจารย์ขาวและอาจารย์ดาว ได้พาพวกเราไปพักที่โรงแรมโก๋หยู่ GUOYO HOTEL (เหลือบไปเห็นราคาห้องพักธรรมดา ราคา 598 หยวน หรือ 2,990 บาท) ผมพักห้อง 607 ซึ่งจะเป็นห้องที่พักต่อจากนี้ไปอีกสองคืน จากนั้นจึงได้นัดหมายกันพรุ่งนี้เวลา 9.30 น. 
วันรุ่งขึ้น (27เมย.2555)  พวกเราได้ลงมารับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารยุโรป (Western Restarurant)  บริเวณล๊อปบี้ของโรงแรม อาหารเช้าที่นี้มีให้เลือกพอสมควร ทั้งข้าวต้ม หมั่นโถ และอาหารจำพวกแป้ง ของทอด หมี่ผัด สลับกับข้าวโพด มันต้ม ฟักทองต้ม ซึ่งถือว่าพอโอเค 

อาจารย์ดาวมารับพวกเราตรงเวลาเป๊ะ 9.30 น. โดยมีภารกิจสำคัญคือ การเข้าพบท่านคณบดีหลิ่ โก๋ เฉิยง สถาบันเซียงซือหู เมื่อมาถึงสถาบันฯ ก่อนเข้าไปตึกอธิการ อาจารย์ดาวพาเราไปซื้อซิมการ์ดที่ใต้อาคารเรียน เพื่อให้พวกเราสามารถเชื่อมเข้าระบบอินเตอร์เน็ตในจีนได้ โดยมีราคา 50 หยวน  (ซึ่งสุดท้ายก็เข้าเน็ตไม่ได้) ทำให้เราได้เห็นร้านค้าต่างๆ ที่อยู่ใต้อาคารที่นักศึกษาสามารถเลือกซื้อสินค้า ร้านกาแฟ ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ต่างๆ จากนั้นพวกเราได้เดินทางถึงตึกคณบดี โดยมีจอ LCD แสดงข้อความต้อนรับ “Warmly Welcome Thailand Friends to visit Xiangsihu College” สร้างความประทับใจแก่พวกเราอย่างยิ่ง และอาจารย์ขาวได้พาเราขึ้นไปชั้น 3 ณ ห้องคณบดี 

ภายในห้องมีการจัดสถานที่ไว้อย่างดี ทั้งชุดเฟอร์นิเจอร์ เครื่องดื่ม ป้ายตั้งชื่อ (มีชื่อจีนด้วย) รวมถึงกล้องบันทึกเทป และล่ามที่คอยเตรียมแปลภาษาเพื่อการพูดคุยกับคณะเรา (คืออาจารย์ดาวนั่นเอง) คณบดีหลิ่ โก๋ เฉิยง ได้กล่าวต้อนรับ และแนะนำบุคลากรของสถาบัน จากนั้นได้เปิดวีดีทัศน์แนะนำสถาบันให้พวกเราได้รับชม สถาบันเซียงซือหู มหาวิทยาลัยชนชาติกวางสี ก่อตั้งในปี ค.ศ. 2002 เป็นสถาบันระดับปริญญาตรีสามัญศึกษาชั้นสูง จัดตั้งภายใต้อนุญาตของกระทรวงศึกษาธิการประเทศจีน วิชาการศึกษาส่วนมากของสถาบันฯ มีการดำเนินการโดยระบบการอบรม “3+1” คือ การศึกษาในประเทศจีนสามปี และศึกษาต่างประเทศ (ประเทศที่เลือกภาษา) หนึ่งปี จุดมุ่งหมายคือ ทำให้นักศึกษาปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมการพัฒนาสู่ตลาดและสากล ทำให้นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษามีความเข้ากับสังคมและความสามารถในการงานมากขึ้น  เมื่อรับชมเสร็จท่านคณบดีได้แนะนำว่าบันทึกความตกลงเดิมกำลังจะหมดอายุลง และควรมีการเซ็นบันทึกข้อตกลงฉบับใหม่เพื่อให้ทันกับนักศึกษาที่จะเดินทางไปอีกสองเดือนข้างหน้า (พร้อมส่งร่าง MOU ให้คณะเรา) จากนั้นผศ.ดร.สุทัศน์ ได้แนะนำ คณะที่มาร่วมด้วยทีละคน (สำหรับผมท่านแนะนำว่าเป็นคนหนุ่มไฟแรง ....จิงๆเรียกว่าเป็นเด็กหนุ่มไฟแรงก้อได้นะ อิอิ ^^) จากนั้นทางคณาจารย์ ได้พาเราไปพบกับรองคณบดี หม่า เชียง เฉ่ย และร่วมประชุมสัมมนากับนศ.เซียงซือหู ที่กำลังจะไปศึกษาต่อที่ประเทศไทย โดยผศ.ดร.สุทัศน์ ได้กล่าวแสดงความยินดีที่และต้อนรับนักศึกษาที่จะไปศึกษาต่อที่เพชรบุรี  รศ.ดร.บุญเจริญ ได้แนะนำการเรียนภาษาไทยและแนวทางการอยู่ร่วมกันกับคนไทยที่ดี ดร.กรัณย์ ได้แนะนำการเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรม และโอกาสทางด้านอาชีพในภาคบริการของธุรกิจไทย ในการนี้ มีคำถามจากนศ.เช่น ที่เพชรบุรีมีโรงพยาบาลหากเวลาเจ็บป่วยไหม ราคาแพงไหม  จะเข้าร่วมพิธีรับน้องแบบคนไทยทำได้ไหม จะสามารถอยู่หอร่วมกับนักศึกษาคนไทยได้หรือไม่  ตอนปิดเทอมสามารถอยู่หอได้ไหม ถ้าต้องการเรียนต่อโทมีหลักสูตรรองรับไหม เป็นต้น จากนั้นได้พบปะกับนักศึกษาจีนปี4 ที่ได้ไปเรียนเมืองไทยมาแล้ว ทั้งจากจ.กาญจนบุรี และจ.เพชรบุรี สิ่งที่เห็นได้คือทักษะการใช้ภาษาไทยที่คล่องแคล่ว ซึ่งถือเป็นผลสำเร็จอย่างยิ่งจากหลักสูตรการเรียน 3+1 ของสถาบันเซืยงซือหู   


 อาจารย์ขาวได้พาคณะจ.เพชรบุรี และจ.กาญจนบุรี ไปรับประทานอาหาร ก่อนรับประทานอาหาร เราขอให้อาจารย์ดาว ขับรถ (พวงมาลัยซ้าย) พาพวกเราชมทัศนียภาพของมหาวิทยาลัยชนชาติกวางสีไปในตัว โดยเป้าหมายที่เราทราบคือ ศูนย์ชนชาติเพื่อการเรียนรู้ ข้อมูลภาษาไทย ซึ่งเป็นอาคารที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯ มาทรงเปิด เมื่อปี พ.ศ.2549


และมาถึง ร้านอาหารในมหาวิทยาลัยชนชาติกวางสี (ห้องส่วนตัว) ที่นี้ ถือเป็นมื้อแรกที่ได้รู้จักรสชาติของเครื่องดื่มมิตรภาพที่เรียกว่า เหมาไถ(Mautai)  เหมาไถ คือ เหล้าประจำชาติ ทำจากข้าวฟ่างจีนที่มีคุณภาพดีเยี่ยมมาหมักผสมกับเชื้อยีสต์ชนิดพิเศษ และน้ำแร่ที่มีเฉพาะในหมู่บ้าน ซึ่งได้รับเกียรติในการเสริมสร้างมิตรภาพจากท่านรองคณบดี หม่า ในการยกจอกชนตลอดมื้อ (ว่ากันว่า 53 ดีกรีนะเนี่ยะ ดื่มที ร้อนผ่าวจากลำคอจนท้องเลย ที่สำคัญคือทำให้เรารู้ว่าธรรมเนียมจีน เค้าจะไม่ให้เครื่องดื่มบนโต๊ะอาหารพร่อง เสมือนมิตรภาพนั้นขาดไป จึงจะต้องคอยรินให้มีอยู่เสมอ) ดื่มควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารชั้นยอด อาทิ ซุปไก่ เป็ดกับเผือก หมั่นโถพร้อมเครื่อง ไก่แช่เหล้า ปลาจีนนึ่ง  ผักจีนในน้ำซุป ฯลฯ อิ่มอร่อยเสร็จแล้ว ทางอาจารย์ดาวรับอาสาขับรถพาชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเมืองหนานหนิง ซึ่งสถานที่พวกเราเลือกคือ ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้านานาชาติหนานหนิง (ที่เคยรับจัดงาน Expo) ระหว่างเดินทางสามารถพบเห็นอาคาร ตึกสูงมากมายที่กำลังสร้างและสร้างเสร็จแล้วจำนวนมาก รถเก๋งจากยุโรปดูเหมือนจะได้รับความนิยมจากคนจีน ซึ่งยี่ห้อที่พบเห็นทั่วไป ได้แก่ FOLKSWAKEN  BMW เป็นต้น พวกเราเลือกเดินชมบรรยากาศของศูนย์ก็รู้สึกว่ายิ่งใหญ่สมกับที่เคยจัดงาน Expo แต่ก็พบว่ามีสภาพความเก่า ชำรุดบ้างเช่นกัน ส่วนบริเวณภายนอกอาคารบริเวณเนินสวนมีการตกแต่งด้วยพันธ์ไม้สวยงาม ชวนให้พวกเราถ่ายรูปกันมาก จากนั้นก็ได้เดินทางกลับโรงแรม  

ถึงเวลาเย็น พวกเราได้ถูกเชิญมาร่วมรับประทานพร้อมกรุ๊ปแขกที่รับเชิญมาจากที่ต่างๆของจีน ณ บริเวณห้องจัดเลี้ยงชั้น 2 และเช่นเดิม เหมาไถ่ ได้เชื่อมสัมพันธไมตรี ระหว่างสถาบันเซียงซือหู มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี และมหาวิทยาลัยราชภัฎกาญจนบุรี ได้อย่างดี (พี่น้อง 1 จอก น้องพี่ 1 จอก) สิ้นเสียงจากโต๊ะข้างๆ ก็พบว่าพวกเราคือโต๊ะสุดท้าย จากนั้นได้อำลากันไปพักผ่อน เพื่อพบกับงานสำคัญนั้นคือ พิธีการช่วงเช้าของงานครบรอบ 10 ปี สถาบันเซียงซือหู  

เช้าวันที่ 28 เมย. 2555   พวกเราออกจากโรงแรมโก๋หยู่  8.40 นาที (วันนี้อาจารย์ดาวมาสายนิดหน่อย) เพื่อเดินทางไปร่วมงานฉลอง 10 ปี เมื่อมาถึงเราได้เห็นน้องๆนศ.ที่ใส่เสื้อเหลืองปกแดงเต็มไปหมด (ทราบว่าเป็นอาสาสมัครที่มาช่วยงาน) พร้อมแถวต้อนรับจากนศ.ที่แต่งกายเป็นชนเผ่าท้องถิ่น คือ ชนเผ่าจ้วง เมื่อได้เวลาเหล่าอาสาสมัครจะคอยพาพวกเราเดินฝ่าพรมแดงและนศ.ที่นั่งอยู่ข้างทางจะเคาะบอลลูมแท่งที่ทำให้เกิดเสียงที่ดังกึกก้องต้อนรับ จากนั้นจะได้นำหัวหน้าทีมของเราคือ ผศ.ดร.สุทัศน์ ขึ้นนั่งบนเวที  พิธีกรจึงกล่าวแนะนำผู้เข้าร่วมแต่ละคน และเปิดงานด้วยคำกล่าวสุนทรพจน์จากอธิการบดี หญิงเหล็กแห่งเซียงซือหู คณบดีสถาบัน ร่วมถึงผู้เข้าร่วมจากสถาบันต่างๆตามลำดับ พร้อมรับชมการแปรอักษร ภาพจากนศ.ที่อยู่บริเวณหน้าเวที
พร้อมการจุดพลุไฟ เพื่อส่งสัญญาแห่งการเริ่มงานครบรอบ 10 ปี สถาบันเซียงซือหูอย่างเป็นทางการ จากนั้นจึงได้เวลาใกล้เที่ยงพอดี คณะอาจารย์จากจีน จึงได้เชิญพวกเราไปร่วมรับประทานอาหารที่ภัตตาคาร ซึ่งที่นี้ ทำให้พวกเราได้มีโอกาสพบกับท่าน จิตราภรณ์ อาภรณ์รัตน์ กงสุลใหญ่ ประจำหนานหนิง ท่านอธิการบดี เหือ หลง ฉุน  ผู้แทนจากกระทรวงศึกษาธิการและผู้บริหารจากมหาวิทยาลัยกวางสีอย่างใกล้ชิด

ส่วนบ่ายวันนี้ พวกเราได้ขอให้อาจารย์ดาว พาพวกเราไปชมบรรยากาศของมหาวิทยาลัยกวางสี ที่มีชื่อเสียง โดยมีน้องนศ.(น้องปราณี) ที่จบจากม.ราชภัฎเพชรบุรี ร่วมเดินทางให้ข้อมูลแก่พวกเราไปด้วย ภายในมหาวิทยาลัยกวางสี มีบริเวณกว้างขวาง อาคารสถานที่มีความสวยงาม โดยเฉพาะอาคารห้องสมุดมีขนาดใหญ่ มีอาคารห้องแลปโดยเฉพาะ ตึกหอพักนศ.มีจำนวนมากและแยกส่วนออกไปอย่างชัดเจน  หลังจากนั้นอาจารย์ดาวได้มาส่งพวกเราที่โรงแรมอีกครั้ง

ช่วงเย็น อาจารย์ดาวได้พาพวกเราไปยังภัตตาคาร รับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่มมิตรภาพกันอีกครั้ง โดยทาง รองอธิการบดีเหมา บอกว่าจะทำให้ดูดอกไม้ไฟในค่ำคืนนี้ได้สวยงามมากขึ้น  เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จ พวกเราได้กลับมาที่สถาบันเซียงซือหู อีกครั้ง เพื่อร่วมงานรื่นเริง และชมการแสดงผลงานจากคณาจารย์ และนักศึกษาสถาบันเซืยงซือหู กว่า 14 ชุด ได้แก่ การแสดงความสามารถร้องเพลงจีนของครูและนักศึกษา การแสดงเต้นในเรื่องราวของการต่อสู้ชีวิตของคนจีน การแสดงละครจำลองวันจบการศึกษาของนศ. การเต้นและร้องเพลงสากล การแสดงเชียร์ลีดเดอร์ การแสดงตีกลองมโหระทึก และที่น่าตื่นตาตื่นใจ คือการแสดงชนเผ่าต่างๆ ซึ่งเครื่องแต่งกายแต่ละชนเผ่ามีความสวยงามและมีเอกลักษณ์อย่างมาก




สุดท้ายจบด้วยการชมดอกไม้ไฟ (ทราบว่าใช้งบประมาณกว่า 500,000 หยวน) ซึ่งเป็นการปิดท้ายกับงานครบรอบ 10  ปี สถาบันเซียงซือหูที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง  พวกเราจะจดจำโดยเฉพาะมิตรภาพจากทุกท่านที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นแก่เรา  ซึ่งปฎิเสธไม่ได้เลยว่าคำว่าพี่น้องนั้น นอกจากมากจากชาติพันธ์ของชนเผ่าจ้วงกับคนไทยที่ใกล้ชิดตั้งแต่ในอดีตแล้ว ความจริงใจที่ให้กันนั้นก็มีมากเหนือกว่าสิ่งอื่นใดเช่นกัน....สถาบันเซียงซือหู และมหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี มิตรภาพนี้จะสืบสานต่อไปตราบนานเท่านาน ...เซี่ย เซี่ย



Contact us by E-mail: karunryd@gmail.com