"ซินจ่าว" ชาว SMEs Advance... เยือนเมืองญวน สำรวจโอกาสธุรกิจไทยในเวียดนาม
โดย กรัณย์ สุทธารมณ์
ผู้เข้าอบรมรุ่น 2
สืบเนื่องจากโครงการอบรมนักธุรกิจระดับสูง
SMEs Advance รุ่นที่ 1
& 2 ...กำลังจะจบคอรส์
(2เดือนกว่าๆ)
ซึ่งสิ่งพิเศษของโครงการนี้ คือ จัดให้มีการศึกษาดูงานต่างประเทศ....โดยให้เลือกระหว่างประเทศพม่า
และเวียดนาม.... ผมไม่รอช้าเลยทีเดียว ที่จะตอบรับกับตนเองในใจว่า....เวียดนาม แน่นอน
คืนวันที่ 5พย.56…..
เรียกว่าแทบไม่ได้นอน มาหลับก้อตอนตีหนึ่งของวันที่ 6
แล้วก้อตื่นอีกทีตี 3
เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปสนามบินดอนเมือง
ด้วยพาหนะรถตู้จากพี่สาวใจดีของเรา คือพี่ตุ้ม เช่นเคย
เรามาถึงสนามบินดอนเมืองในเวลา 5.30 น.
ด้วยเที่ยวบิน FD
2790 แอร์เอเชีย (กรุงเทพ
– โฮจิมินห์) ใช้เวลาเพียง
1.30 ชม. ก้อมาถึง สนามบินของนครโฮจิมินห์
(ที่นี้ไม่ต้องปรับเวลาเพราะใช้เวลาเดียวกับไทย) ภายในสนามบินค่อนข้างเรียบง่าย
ไม่ใหญ่มากนัก และก่อนจะออกจากสนามบินพวกเราแวะแลกเงินที่เคาเตอร์ ก่อนซัก 1,000
บาท ว้าววว...ได้มา 645,000
ด่ง แน่ะ รวยเลย อิอิ (อัตรา 1
บาท เท่ากับ 645ดอง
ซึ่งช่วงหลังจากนี้ เราไปแลกไกด์ได้ เพียง 600 ด่ง ...สรุปแลกเคาเตอร์ดีกว่านะ)ด้วยพวกเราเป็นคณะใหญ่จึงจัดให้มีการแบ่งเป็นรถ
3
คัน....ครั้งนี้ ผมอยู่คันที่ 3
แล้วเราก้อมาเจอไกด์ประจำกลุ่มเรา....”ไกด์เอ้ะ”
ไกด์ผิวสีเข้ม สัญลักษณ์ที่ชัดเจนของเค้า
คือหมวกสีส้ม...เด่นมาแต่ไกลนั่นเอง
ไกด์เอ๊ะ เล่าโดยสรุปว่า.....นครโฮจิมินห์ เดิมชื่อว่า ไซ่ง่อน
ตั้งอยู่ สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ประกอบด้วยแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน ซึ่งเสน่ห์ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะไม่มีอะไรเกินหน้าเรื่องราว
ส่วนตัวของอดีตผู้นำประเทศเวียดนาม
และการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเสรีภาพจากชาติตะวันตก ที่นี้มีประชากร ประมาณ 10
ล้านคน
คนที่นี้จะใช้มอเตอร์ไซด์เป็นหลัก ส่วนรถยนต์ราคาจะแพงมากโดยรัฐจะบวกภาษีอีก 10
% รถยนต์จะมีพวงมาลัยด้านซ้ายแต่จะขับขี่ทางเลนด้านซ้ายเหมือนบ้านเรา
ที่นี้มักจะไม่ค่อยมีไฟเขียวไฟแดงแต่ละใช้วงเวียนมาช่วยการจัดจราจรแทน การซื้อที่ดินที่ซื้อขายจะขายกันเป็นตารางเมตร
ช่วงหลังสาวๆเวียดนามมักไปถูกใจไปเป็นสะใภ้ชาวเกาหลี
จากนั้นจุดแรก
ซึ่งถือว่าเราได้มาสัมผัสบรรยากาศของเมืองนครโฮจิมินห์จริงๆ นั่นคือ
การลงรถเยี่ยมชมงาน Vietnam
International Fair 2013 ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าเค้าต้องการที่จะสร้างแบรนด์เสื้อผ้าของเค้ามากขึ้น
แล้วจึงเดินทางไปรับประทานอาหารมื้อเที่ยง ณ ร้าน Viet
Village เป็นร้านเวียดนามสไตล์ยุโรป
...อาหารมื้อแรกของเรา ประกอบด้วย ผัดผักโรยกระเทียมเจียว ไก่นึ่งซีอิ้ว
หมูผัดเปรี้ยวหวาน ปอเปี้ยะเวียดนาม ซุปใสผัก (ในน้ำสีชมพู) เสริฟ์พร้อมข้าว(ค่อนข้าวเหนียวคล้ายข้าวญี่ปุ่นเลย)
และน้ำชา (ซึ่งมองทีแรกนึกว่าเบียร์ แอบดีใจนิดๆ)....สรุปคือทานไปงันๆ
รสชาติจืดสนิทโดยเฉพาะซุป ที่สำคัญถ้าจะขอช้อนโต๊ะที่เวียดนามเค้าไม่มีให้นะคับ เพราะเค้าใช้ตะเกียบเป็นหลัก..........T^T
จากนั้น
เราก็ได้เดินทางไปที่ จังหวัดด่องนาย ห่างจากนครโฮจิมินห์ประมาณ 200
กม.
(3
ชม.) เพื่อไปเยี่ยมชม บริษัท
เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP VIETNAM)
ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการผลิตอาหารสัตว์และเลี้ยงสัตว์ในประเทศเวียดนาม
รับฟังการบรรยายจาก คุณ
จิระศักดิ์ สกุลชัย ผู้จัดการทั่วไป ....
![]()
คุณจิระศักดิ์ได้บรรยาย ที่มาที่ไปของเครือซีพีในเวียดนาม
การบริหารจัดการ และการจัดการเรื่องทรัพยากรมนุษย์ ....เครือซีพีได้มาลงทุนมากว่า 20
ปี
แบ่งเป็นกลุ่มฟาร์ม และกลุ่มฟู๊ด มี 10
โรงงาน
โดยมีนโยบายที่ยึดถือ 3 ประการคือ
ประโยชน์ต่อประเทศชาติที่เราไปลงทุน ประชาชนของประเทศนั้นต้องได้ประโยชน์
และประโยชน์ต่อบริษัท .... แต่สิ่งที่ผมสนใจมากคือ อะไรคือมูลเหตุและปัจจัยการมาลงทุนของเครือซีพีในเวียดนาม....ซึ่งพอจับประเด็นได้ว่า
1.รัฐให้การสนับสนุนภาคเอกชนในการมาลงทุนในประเทศอย่างมาก
2. นิคมอุตสาหกรรมที่นี้มีการออกแบบที่ดี ทั้งระบบไฟฟ้า ประปา หรือการจัดการของเสีย
(ที่สำคัญน้ำไม่ท่วม) 3. อัตราค่าจ้างแรงงานที่ไม่สูง(ประมาณคนละ
4,500 - 5,000 บาท
แม้ว่าจะรวมสวัสดิการที่นายจ้างให้เพิ่มเติมแล้ว) และ4.วัตถุดิบที่รับซื้อ
สามารถหาได้จากภายในประเทศ กว่าร้อยละ 50 ….. แต่ก็มีสิ่งที่ข้อเสียที่มีต่อสภาพการมาลงทุนในเวียดนามเช่นกัน นั่นคือ
ปัญหาด้านความปลอดภัย การฉกชิงวิ่งราวโดยเฉพาะต่อนักท่องเที่ยว
(หากจะเดินเที่ยวตอนกลางคืนที่เวียดนามจะต้องเก็บของมีค่าไว้ให้ดี)การเปลี่ยนแปลงของกฏหมาย
โดยเฉพาะกฎหมายแรงงาน จะมีกม.ใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาตลอด (เช่น
การให้นายจ้างทำประกันอุบัติเหตุ ประกันว่างงาน หรือที่เพิ่มล่าสุด บริษัทฯ ใดที่จะต้องการแรงงานต่างด้าวมาทำงาน
จะต้องลงประกาศในหนังสือพิมพ์ให้คนท้องถิ่นมาสมัครก่อน เว้นแต่ไม่มีมาสมัครจริงๆ
จึงจะรับต่างชาติได้ และต้องได้รับอนุญาตผู้ว่าราชการด้วย)
จากนั้นจึงมารับประทานอาหารค่ำ
ที่เรือสำราญ แต่ด้วยกำลังมีพายุเข้า ...จึงงดการแล่นเรือชมความงามของแม่น้ำ
เหลือเพียงนั่งทานไปบนเรือ….
นะที่นี่ เราได้ฟังเพลงไทย สไตล์เวียดนามด้วย (ลิ้นกับฟัน พบกันทีไรเป็นเรื่องใหญ่....น้ำกะไฟถ้าไกลกันได้ก็ดี....อัมอัม)
ค่ำคืนนี้
เราพักผ่อนกันที่ โรงแรม KIMDO
HOTEL (ห้อง 819)
(ราคาที่พัก 130 ดอลล่าห์ หรือประมาณ 3,900 บาท)
สำหรับเช้าวันนี้7 พย.
เรามีโปรแกรมการรับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมด้านเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศเวียดนาม
ณ ห้องประชุมของโรงแรม………..
ท่านแรกที่มาบรรยายให้เราคือ คุณมาลินี
หาญบุญทรง กงสุล (ฝ่ายการพาณิชย์) และผู้อำนวยการ ………“ซืนจ่าว”
คุณมาลินี ทักทายอย่างเป็นกันเอง จากนั้นได้......นำสรุปภาพรวมเวียดนาม....เวียดนาม
มีพื้นที่ 331,689 ตรม.แบ่งเป็น 3
ส่วน คือ เวียดนามเหนือ เวียดนามกลาง และเวียดนามใต้
เมืองหลวง คือ กรุงฮานอย (อยู่เวียดนามเหนือ) การปกครองเป็นสังคมนิยม
พรรคคอมมิวนิสต์ ประชากรมี 90 ล้าน คน
ส่วนใหญ่ 52 % อายุไม่เกิน 35ปี
มีการใช้มอเตอร์ไซด์ 40
ล้านคัน เชื้อชาติส่วนใหญ่เป็น เวียดนาม 85-90
% นับถือศาสนาพุทธ70 %
ใช้ภาษาเวียดนามเป็นภาษาราชการ สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ น้ำมันดิบ
เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า สินค้าประมง ข้าว กาแฟ ยางพารา ชา และเครื่องใช้ไฟฟ้า
ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย จีนและเยอรมัน
ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญ คือ เครื่องจักร ปิโตรเลียม เหล็ก ปุ๋ย ฝ้าย วัสดุสิ่งทอ
ผ้า ธัญพืช ปูนซีเมนต์ และจักรยานยนต์ แหล่งนำเข้าที่สำคัญ คือ จีน สิงค์โปร์
ไต้หวัน และญี่ปุ่น

เวียดนามเป็นประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนที่มีความสำคัญด้านความมั่นคงในภูมิภาค
มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสปป.ลาว กัมพูชา และเมียนมาร์ (CLMV) เป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย
แรงงานราคาค่อนข้างต่ำ การบริโภคภายในประเทศมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
เป็นฐานการผลิตและตลาดส่งออกที่สำคัญของภูมิภาค ในขณะที่เวียดนามก็มีจุดอ่อน
ด้านภาวะเงินเฟ้อ ความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (หากมีการเช่าอสังหาฯ
อาจมีการปรับเรตเก็บค่าเช่าจากความแตกต่างของอัตราค่าเงินเพิ่มขึ้นได้)มีกฎระเบียบ
มาตรการข้อบังคับที่หลากหลาย เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต้องติดตามอย่างสม่ำเสมอ
ที่สำคัญสำหรับนักธุรกิจ เอกสาร ข้อมูล ส่วนใหญ่เป็นภาษาท้องถิ่น
ทำให้ทำธุรกรรมได้ยาก
ในปี 2013
นครโฮจิมินห์ มีโครงการจากการลงทุนต่างชาติ
จำนวน 302 และฮานอยมี 135
โครงการ โดยมีเกาหลีมีลงทุน สูงสุดคือ 247ญี่ปุ่น210
สิงคโปร์ 72 ส่วนไทยเป็นอันดับที่
8
มี 22 โครงการ
เวียดนามเหนือจะเป็นแหล่งอุตสาหกรรม ส่วนเวียดนามกลาง จะเป็นแหล่งปลูกกาแฟ
(อาราบิก้า และโรบัสต้า) ปี 55 เป็นประเทศส่งออกกาแฟอันดับหนึ่ง(แซงหน้าบราซิล)
ส่วนเวียดนามใต้ จะเป็นแหล่งธุรกิจ (เขตแม่โขงเดลต้า) โดยเฉพาะสินค้าเกษตร(ข้าว
มันสำปะหลัง) และสินค้าประมง (ฟาร์มเลี้ยงกุ้งขาว)

ถัดมาเป็นมุมมองด้านการลงทุนของผู้ประกอบการธุรกิจในประเทศเวียดนาม....ท่านแรก คุณรักดา(ประธานสมาคมนักธุรกิจไทยในเวียดนาม
TBA).....เล่าว่า
การเข้าร่วม WTO 2007 ของเวียดนาม
ทำให้เกิดการตื่นตัวการค้าอย่างมาก
แต่ในขณะที่สถาบันทางการเงินของเวียดนามก็ยังคงเป็นปัญหา เวียดนามก็มีธนาคาร 80
กว่าราย แต่ก็มีการล้มลุกเกิดใหม่ตลอด
การฝากเงินในธนาคารจึงยังเป็นเรื่องที่ไม่มั่งคง
ซึ่งการส่งออกยังเป็นอุตสาหกรรมหนัก เป็นสำคัญ ส่วนสินค้าเกษตร ได้แก่ ข้าว
และกาแฟ (G7) เป็นสำคัญ
ทั้งนี้เวียดนามก็กำลังผลักตัวเองไปสู่การเป็นผู้ส่งออกไปในภูมิภาค(เช่น
การผลิตชิ้นส่วนฮอนด้า) นอกจากนี้การสนับสนุนจากทั้งประเทศรัสเซีย หรือธนาคารADB
ก็กำลังสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้แก่เวียดนาม
คุณรัญญาพร (ธุรกิจซาบีน่า) เล่าว่า
เข้ามาได้2 ปี แรกจดทะเบียนเป็น Trading
Company เช่าตึกแรก 1ห้อง มี 1
ร้านค้า ปัจจุบันมี 22
ร้านค้า
โดยใช้กลยุทธิ์การเปิดร้านค้าในห้างของเวียดนาม คนเวียดนามใช้อินเตอร์เน็ตสูงมาก
แต่จะใช้สั่งซื้อสินค้า แล้วนัดส่งของชำระเงินสดมากกว่า (ไม่ใช้บัตรเครดิต)
โดยช่องทางการจัดจำหน่ายในห้างได้แก่Street shop / Local
department / Discount Store (เช่น
บิ๊กซี แมคโค แม็คซีมาร์ค โคอ๊อปมาร์ค) /
Department Store (เช่น ห้างไดมอน อันดับ 1ของเวียดนาม
ห้างตั้กสัน ห้าง Lotte Mart)ส่วนพนักงานคนเวียดนามจะมีลักษณะไม่หือ
ไม่อือ ไม่ถาม (คือ การถามเป็นวัฒนธรรมที่บ่งบอกว่าเป็นคนไม่เอาไหน)
และค่านิยมการรับคน เช่น ถ้าHRเป็นคนเหนือก็จะรับเฉพาะคนเหนือ
ถ้ารับคนเหนือมาทำงานกับคนใต้มาทำงานร่วมกันก็จะมีการขัดแย้งได้ง่าย
เพราะเค้าจะไม่ถามกัน….สุดท้าย PC
ที่จ้างอยู่ที่เวียดนาม 2,500,000
ด่ง กับ 8
ชม. ประมาณ 4,200 บาท
และคุณสภาวุฒิ
(ธุรกิจวุฒิศักดิ์คลินิก) ซินจ่าว...กล่าวโดยสรุปว่า วุฒิศักดิ์ในเวียดนามกำลังเข้าสู่ปีที่2
แต่ถ้านับใน CLMV เปิดมาแล้ว 3
ปี เรามี 12
สาขา
โดยในเวียดนามเราอาศัยโอกาสจากจำนวนประชากรที่สูง
รวมถึงพฤติกรรมของคนเวียดนามที่รักสวยรักงาม(สังเกตได้จากตอนขับมอเตอร์ไซด์
สาวเวียดนามจะสวมถุงมือ หมวก ถุงน่อง คลุมตลอด) รวมถึงบุคลากรผู้ให้บริการของเวียดนามถ้าเทียบกับประเทศในCLMV
ถือว่าจะมีศักยภาพสูง แต่อาจด้อยในด้านภาษากว่ากัมพูชา
ทั้งนี้ในแง่ธุรกิจอาจจำต้องศึกษาด้านกฎหมาย เช่น การรับสินค้า
บางอย่างอาจต้องมีการรับรองจากประเทศไทยก่อน จึงจะมายื่นขอ Product
License ที่เวียดนามได้ แต่ทั้งนี้ถ้าเทียบยอดขายใน CLMV
เวียดนามก็ยังถือว่าต่ำสุด
ซึ่งอาจเป็นเพราะสื่อโทรทัศน์เข้าถึงประเทศอื่นๆได้มากกว่า
แต่เวียดนามรับช่องสัญญาณจากไทยไม่ได้ แต่โดยรวมก็ยังมีอนาคตอยู่
สิ้นสุด Session การบรรยาย
....จากนั้นเราได้เดินทางมุ่งหน้าสู่ เมืองหวุงเตา(VUNG
TAU) เมืองตากอากาศ ใช้เวลาประมาณ 4
ชม. ณ โรงแรมLan
Rung Vung Tau Resort&SPA (ถือว่าได้ว่าเราอยู่ในจุดที่ตั้งของโรงแรมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งทีเดียว
ราคาประมาณ 2,650,000 ด่ง หรือ 4,000
กว่าบาท)
8
โมงเช้า ของวันที่
8 พย.
หลังจากที่ได้เดินสำรวจบรรยากาศโรงแรมและชายหาด สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้เช่นเคยก็คือ
ชายหาดที่นี้ไม่ได้สวยไปกว่าที่ต่างๆของเมืองไทยเลย หาดทรายก็เป็นลักษณะเป็นสีเทา
ซ้ำยังมีโคกหินที่เป็นอุปสรรคต่อการเล่นน้ำทะเลซะอีก
แต่เช้านี้ ก็เป็นเช้าที่ทำให้พวกเราเข้าถึงความเป็นเวียดนามมากขึ้น
ด้วยอาหารเช้า อาหารประจำชาติที่เรารอคอย นั่นคือ เฝอ (Pho)
แม้ว่าจะเป็นเฝอในโรงแรม แต่ทุกคนก็บอกว่าอร่อยจริงๆ ซึ่งความอร่อยนั่นก้อมาจากน้ำซุป
ที่เกิดจากการเคี่ยวจากเนื้อ เนื้อวัว ตับ และกระดูกวัวช่วงท่อนขายาวนานกว่า 20
ชั่วโมง ซึ่งเป็นเหตุให้ผมทานทั้งเฝอเนื้อ และเฝอหมูเลยทีเดียว
"อร่อยจริงๆ...." :D

ก่อนเดินทางกลับสู่สนามบิน
พวกเราได้แวะที่ ตลาดเบนธันห์ (Ben Thanh
Market) บนถนนเลเลย (Le Lol) ใกล้ ๆ
กับจัตุรัสโฮจิมินห์
ซึ่งเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมมากทั้งจากคนพื้นเมืองและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
มีสินค้ามากมาย ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋าเดินทางนาฬิกา ของที่ระลึก อาหาร เครื่องเทศ
รวมถึงอาหารสด และดอกไม้สด หากอยากสัมผัสวิถีแบบไซ่ง่อนแท้ๆ (วิธีคิดง่ายๆ 100,000 ด่ง เท่ากับ 150 บาท) ………..เทคนิคที่นี้คือ
ถ้าสนใจสินค้าจริงๆ จึงค่อยต่อรองราคา
ถ้าต่อรองแล้วไม่เอาอาจโดยบ่นเป็นภาษาเวียดนามได้ และอาจต่อรองราคาซัก 40 –
50 % .......สุดท้ายผมก้อได้ของฝาก พี่ๆน้องๆที่โรงแรมรอยัล ไดมอน
เป็น กระเป๋าผ้าปักลายสาวชาวเวียด ตลับมุกกระจกเงา และเนทไทสีชมพู กลับบ้าน
(แต่ส่วนใหญ่เค้าจะซื้อกาแฟ G7 เม็ดบัวแห้ง ผ้า
หรือเรือจำลอง กันนะ)......เสียดายที่เวลามีน้อยมาก....จริงๆ
เวียดนามยังมีอะไรที่น่าค้นหาอีกมาก.....ไว้ได้มีโอกาสพบกันใหม่นะ...Vietnam