วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ครั้งหนึ่งในชีวิต คือ มะริด รุ่นแรก ....@จุดผ่อนปรนพิเศษ ด่านสิงขร ประจวบคีรีขันธ์

ครั้งหนึ่งในชีวิต คือ มะริด รุ่นแรก ....@ด่านสิงขร ประจวบคีรีขันธ์

โดย กร เมืองไทย


เย็นของวันที่ 22 พฤษภาคม 58...หลังจากได้ยินการรายงานข่าวของสำนักข่าวทางวิทยุ "..การเสวนาการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวด่านสิงขร  ณ โรงแรมประจวบแกรนด์ วันนี้ มีผู้มาร่วมจำนวนมาก...." เท่านั้นหล่ะ ...ก้อเลยนึกขึ้นได้ว่า เราได้ลงชื่อแจ้งร่วมทริปนี้ด้วยนี่น่า จึงได้ติดต่อไปยังผู้จัดงาน ซึ่งได้รับคำตอบว่า..."เต็มแล้ว" รายชื่อของท่านไม่ปรากฏ เพราะจากจำนวนเป้าหมาย 200 คน แต่มีผู้สมัคร 500 กว่าคน แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าจะตรวจสอบดูก่อนแล้วจะโทรมาแจ้ง.... ทิ้งระยะไว้ 10 นาที ก้อยังไม่มีใครโทรมา...จึงตัดสินใจโทรกลับไป ...คราวนี้
"...ต้องการกี่ที่นะค่ะ" เจ้าหน้าที่ถามย้ำ
"2 ท่านครับ พอเป็นไปได้ไหมครับ" ผมตอบกลับไป
"โชคดีจิงๆค่ะ เผอิญมียกเลิก 2 ท่านพอดี"...เจ้าหน้าที่ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ
"แต่ต้องมาลงทะเบียน พรุ่งนี้เวลา 8 โมงตรง นะค่ะ" เจ้าหน้าที่ย้ำหนักแน่น

เย้ เย้ เย้!!!!



จากนั้นจึงเริ่มเก็บข้าวของทันที เพื่อเดินทางไปค้างที่ประจวบคืนนี้ และเข้าด่านพรุ่งนี้เลย แต่ยังไม่ลืมที่จะโทร...."เอิรท์ เก็บของเลย เราจะไปกันคืนนี้" ทายาท สายน้ำวัลเล่ย์รีสอร์ท @แก่งกระจาน มิตรสหายของผมในทริปนี้



"มะริด" เมืองท่าแห่งอุตสาหกรรมประมง ....มีประวัติความเป็นมากว่า 100 ปี แม่น้ำสำคัญของที่นี้คือ แม่น้ำตะนาวศรี อยู่ห่างจากมะริด 80 กม. ในอดีตชาวมะริดเป็นชาวเมืองที่อยู่อย่างเรียบง่าย ทำให้ประเทศต่างๆจึงมารุดราน ทั้ง ไทย หงสาวดี อังวะ อังกฤษ หรือกระทั่งพวกแขก มุ่งที่จะมาครอบครอง ทำให้เกิดรากฐานของคนหลายสัญชาติในเมืองมะริด


... สมัยก่อนการค้ามีความเจริญ โดยเรือสำเภา ผ่านจากมะริด ทวาย ล่องทางแม่น้ำตะนาวศรี เป็นสำคัญ
... เมืองท่าด้านการประมง กับเรือประมงขนาดใหญ่ กว่า 1,200 ลำ และเรือเล็กทั่วไปกว่า 10,000 ลำ
....สินค้าประมงจากมะริด ถูกจัดส่งไปที่ท่าเรือระนอง ภายใน 48 ชม.
... ค่าไฟฟ้าของมะริด แพงกว่าไทยถึง 4 เท่า จึงทำให้มะริดไม่ผลิตสินค้าเอง จะนำเข้าสินค้าจากไทยผ่านระนอง (100 %)
.. ประวัติศาสตร์ ที่วัดวังหน้า พระยาลิชัย เคยมาสร้างโบสถ์ สมัยกรุงสุโขทัย ยกทัพมาครอบครองที่นี้
... มะริด มีวัดไทย 12 วัด มีเกาะที่สวยงาม ปะการังที่สมบูรณ์ และมีศิลปวัฒนธรรมที่ยังคงอยู่มากมาย

เหล่านี้รึป่าว???...จึงทำให้ มะริด ถูกกล่าวขาน และเป็นที่น่าค้นหา




.... เช้าของวันที่ 23 พค.58 รีบตื่น 7 โมง เพื่อลงมาทานอาหารและประสานรถที่จะไปส่งที่ด่านสิงขร ..ซึ่งได้รับแจ้งว่าให้เอารถไปจอดที่หน้าด่านเลย จากนั้นจึงอำลา โรงแรมประจวบแกรนด์ทันที






8 โมงมาถึง จุดรับลงทะเบียน แจ้งชื่อ ชำระเงิน 3,000 บาท พร้อมรับสายคล้องคอระบุเลขที่หมายเลขรถ ซึ่งของผมคือ คันสุดท้าย ตามระเบียบ "หมายเลข 16"






เข้าไปสู่หน้าด่าน ผู้คนคับคั่งมากกก พร้อมกับเข้าสู่พิธีการการเปิดจุดผ่อนปรนชั่วคราว สิงขร - มู่ดอง โดย ผู้ใหญ่จากทั้งสองฝ่าย ผู้ว่าวีระ ศรีวัฒนตระกูล จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และผู้นำของพม่า









จากนั้น มีการแสดงของฝ่ายไทย - และพม่า สลับกัน 6 ชุด พร้อมล่ามของไทย - พม่า
มีการกล่าวต้อนรับ และโชว์ BorderPass จากผู้นำทั้งสองฝ่าย







สัญญาณปล่อยตัวนักท่องเที่ยว โดยเริ่มจากปล่อยนักท่องเที่ยวฝ่ายพม่า กว่า 100 คนก่อน
และตามด้วยฝ่ายไทยกว่า 260 ชีวิต โดยมีผู้ว่าประจวบฯ ค่อยส่งนักท่องเที่ยวไทยเดินข้ามด่าน










จากนั้นจึงมาขึ้นรถ แบ่งเป็นรถบัส รถตู้ และรถsuv รวม 16 คัน ส่วนผมนั่งรถ suv ยี่ห้อฮุนได
 คณะของเราออกเดินทางประมาณเวลา 10.30 น. 




ขับมาได้ 3 กิโล ก้อจะพบกับด่านภายในของพม่า ทหารเพียบ 
ซึ่งจิงๆต้องเสียค่าเข้าด่านอีกคนละ 80 บาท 









เริ่มเดินทางจากด่านมูด่อง สู่ หมู่บ้านตะนาวศรี ใช้ระยะประมาณ 100 กม. ถนนส่วนใหญ่เป็นลูกรังละเอียด เมื่อเข้าไปเรื่อยๆ ช่วงขึ้นเนินเขาจะสลับเป็นถนนลูกรังหินใหญ่ขึ้น ต้องขับข้ามเขา
โดยความเร็ว 40 - 50 กม/ชม.   เต้นมันส์พะยะคับ







และแล้วประมาณ บ่ายโมง ก็เข้ามาย่านหมู่บ้านตะนาวศรี มารับประมาณอาหารกันที่วัดไทย 
กับข้าวก็เหมือนแบบบ้านเรา ประกอบด้วย น้ำพริก ต้มผักหวาน กุ้งตัวใหญ่ ปลาทอด ผัดผัก ทอดมัน 
และไข่เจียว(แบบไข่กวน)





เจอ พระพม่าอายุ 100 กว่าปี ก็ขอทำบุญเงินบาท เอาฤกษ์เอาชัยซะหน่อย


ทานเสร็จก็ออกเดินทางต่อในระยะทางอีก 80 กม. ก่อนออกจากหมู่บ้าน จะต้องเจอสะพานตะนาวศรี 




ทิวทัศน์ระหว่างทาง พบเห็นได้กับฝูงควาย กว่า 30 ตัว ฝูงใหญ่ซึ่งหาได้ยากแล้วในบ้านเรา






เส้นทางถนนช่วงตะนาวศรี - มะริด มีการขยายถนน พร้อมจัดวางกองหินเป็นช่วงๆ
แต่ฝนเริ่มตก ถนนลูกรัง จึงเริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นถนนโคลนลูกรัง




แต่ด้วยความเป็นรุ่นแรก การเดินทางจึงต้องฝ่าฟันกันหน่อย ขาไป รถเสีย 1 คัน ยางแตก 1 คัน 
สะพานชำรุด คนต้องลงจากรถบัส ให้รถบัสผ่านก่อน แล้วค่อยขึ้นใหม่ (ขากลับ รถยางแตก 2 เส้น 1 คัน)



แต่พอเข้าเขตมะริด สองฝั่งจะเป็นสวนปาลม์ สภาพถนนลาดยาง ขับสบายขึ้นเยอะ







เวลา 17.00 น. กว่าๆ ก็มาถึง โรงแรม Grand Jade ราคาที่พักที่นี้ 40 US มีห้องพัก 150 ห้อง
ยังสร้างไม่เสร็จดี พวกเราก้อมาพักแย้ว  ซึ่งโรงแรมต่อเชื่อมกับศูนย์กลางค้า ที่มีเจ้าของเดียวกัน







จากนั้นจึงมาสักการะ วัดเต็งดอจี วัดประจำเมืองมะริด อยู่บริเวณเนินเขาใจกลางเมือง
มีพระพุทธรูปไทย ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าขององค์เจดีย์ จากวัดนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์
ของเมืองมะริดได้เกือบ 360 องศา


แวะเยี่ยมชมตลาดนัดริมทะเล ส่วนใหญ่เป็นแผงร้านอาหาร ร้านขายของยังน้อยมาก





ตอนเย็น เป็นพิธีเลี้ยงต้อนรับคณะจากฝ่ายไทย  โดยนาย เมียะโกะ มุขมนตรีภาคตะนาวศรี  
เรียกว่าจัดเต็มกันทีเดียว ทั้งอาหาร และการแสดงอีกกว่า 10 ชุด


ปิดท้ายวัน ด้วยการเข้ารับมอบเกียรติบัตร กิจกรรมท่องเที่ยวมะริด รุ่นแรก ในการเฉลิมฉลองเปิดด่านสิงขร จุดผ่อนปรนพิเศษแห่งแรกของโลก จาก ท่านอูเมียวโกะ มุขมนตรี ภาคตะนาวศรี 








"เมืองมะริด"...ในสายตาผมแล้ว ถือว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์อย่างยิ่ง ทั้งบ้านเรือน อาคารที่สร้างแบบมีเอกลักษณ์ ความดั้งเดิม ดุจธรรมชาติที่สมบูรณ์ ผสมผสานไปกับโบราณสถาน วัดวาอารามแบบพุทธที่มีความเข้มข้นในทุกเนื้องานของสถาปัตยกรรม รวมถึงความเป็นธรรมชาติของคน การแต่งกาย วัฒนธรรม ตลอดจนความเป็นเมืองที่ผสมผสานของคนหลายชาติที่อยู่ด้วยกัน ทั้งพม่า มอญ อิสลาม ต่างๆ 

เมื่อลองสัมผัสดูแล้ว...พม่าเมืองยิ้ม ณ เมืองมะริด ก็มีเหมือนกันนะ 





สักวัน แล้วเราจะกลับมา.....เจซู ติน บาแด


ปล. ขอบพระคุณภาพถ่ายบางส่วน จาก คณะผู้ร่วมทริปครั้งนี้ :)

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Tour de France ….(ตอน เสน่ห์ปารีส)

Tour de France ….(ตอน เสน่ห์ปารีส)

#kornparis






"คุณรู้ไหมว่า ปีๆหนึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางทั่วโลกกี่คน…" 1,138 ล้านคน (2014)
"ภูมิภาคไหนของโลกที่นักท่องเที่ยวมากที่สุด" …ยุโรป
"และประเทศไหนที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก…" ฝรั่งเศส
ทั้งในด้านรายได้ ก็ติดอันดับ 3 ของโลก รองจากอเมริกา และสเปน 
ในด้านแหล่งท่องเที่ยวด้านอาหาร ติดอันดับ 2 ของโลก รองจากอิตาลี
ในด้านช๊อปปิ้ง ติดอันดับ 2 รองจากอเมริกา (2012-2013 www.futurebrand.com)
…บางช่วงบางตอน ระหว่างการบรรยายใน Class #RecuHotel6 โดย ท่านอักพล พฤกษะวัน ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ยิ่งตอกย้ำความน่าสนใจ กับการเตรียมการเดินทางหลังจากที่ “…เดี๋ยวเราเสร็จภารกิจพาคณะดูงานที่ฝรั่งเศสแล้ว สมทบท่านใดสนใจไปบ้าง เดี๋ยวเราพาเที่ยว” ถ้อยคำจุดประกายแห่งดวงดาว จากท่านอธิบดีสาวแสนสวย ที่แสนใจดีแห่งศาลแรงงานภาค 7 ของเรา “….ถ้าเช่นนั้น ผมขออนุญาตไปโพสเชิญชวนในไลน์ห้องสมทบนะครับ  ขอบพระคุณครับ” ผมกล่าว

และแล้วเรื่องราวแห่งความสนุกก็กำเนิดขึ้น พร้อมกับคำถามในหัว..."ทำไม ต้องเป็นฝรั่งเศส.....???"




วันที่ 14 พค.58 เวลา 20.00 น.คณะสมทบศาลแรงงานภาค 7 และผู้ติดตาม รวมจำนวน 7 ท่าน นัดพร้อมกัน โดยเดินทางด้วยสายการบินไทย TG 930 ราคาตั๋วอยู่ที่  31,105 บาท #ตั๋วโปร  (ที่แรกจะจอง Airfrance ราคา 25,xxx บาท แต่ขากลับต้องไปต่อเครื่องที่อัมสเตอร์ดัม ซึ่งคณะเราไม่เอา)


Day 1 (15 May 05)



นั่งเครื่อง ประมาณ 12 ชม. เวลา 9 โมงเช้า (เวลาท้องถิ่น ช้ากว่าไทย 5 ชม.) ก็มาถึงสนามบิน Charles de Gaulle สนามบินที่นี้ลักษณะพิเศษคือจะเป็นลักษณะวงกลม




ถนนทางเข้าเมือง สองฝั่งข้างทาง ล้วนเต็มไปด้วยศิลปะ Gratfiti คนขับรถบอกว่าเป็นงานศิลป์







ประมาณ 30 นาทีจากสนามบิน ก็มาถึงที่พักของเรา ซึ่งตั้งอยู่ในเขต 15 ที่ที่เราจะพักตลอดในทริปนี้ Convention Montparnasse Hotel ราคาเต็มอยู่ที่คืนละ 170 ยูโร ห้องกะทัดรัด แต่ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก






ซื้อตั๋วรถไฟ แบบ 1 วัน เลือกแบบเขต 1 -2  Mobills ราคาต่อวัน 7 ยูโร เที่ยวได้ทั้งวัน (ในภาพ ท่านอธิบดีจัดการซื้อตั๋วให้พวกเราเสร็จสับ... ขอบพระคุณค๊าบ /||\ )






นั่งรถไฟ Metro สักพัก ก็มาถึงจุดชมวิวที่สำคัญ เรียกว่าให้ได้ฟิล Paris กันไปเลย….นั่นคือ  Eiffel นั่นเอง




เดินเล่นจนทั่วหอไอเฟล เริ่มหิว….น้องบริ้งจึงพาไปทานร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสชื่อดังคลาสิก 
และไม่แพง Bouillon Chartier จะเข้าได้ต้องต่อคิวนิดหน่อย แต่ไม่ผิดหวัง



kiki emoticon
Done ... ประตูชัย & ถนนซ๊องส์เซลิเซ่ส์ ^^



Dinner มื้อแรก ณ ร้านอาหารเชียงรายใหม่ โดยมี พี่นก เจ้าของร้านเพื่อนสนิทท่านอธิบดี
ให้การต้อนรับ อาหารอร่อยมากกกก 




Day 2 (16 May 05)



ตื่นเช้าแบบชิวชิว 9 โมง ทานอาหารเกือบ 10 โมง ห้องอาหารอยู่ชั้นใต้ดิน เนื้อที่เล็กๆ 
แต่จัดบริการเป็นสัดส่วน




 มีทั้งขนมปัง แยมนานาชนิด คอนเฟลก นมสด ไข่กวน ไส้กรอก ตู้บริการน้ำส้มและน้ำแอ๊ปเปิ้ล กาแฟที่เลือกชงเอง ตู้เย็นเล็กที่บริการชีส ฟรุ๊ตสลัด โยเกริต์ และแฮมนานาชนิด 
เรียกว่า เล็กแต่ครบสูตรทีเดียว (ที่น่าสนใจคือ ภาพวาดผนังห้องน่ารักมาก) 






วันนี้ เป้าหมายแรก  มงมาร์ตร์ (Montmatre) ย่านศิลปะ ที่มีวิหารสีขาว ที่โด่งดัง 
"วิหาร Basilique de Sacre-coeur"  โดยสามารถขึ้นรถไฟฟ้าได้






ภายในวิหารอลังการ ด้วยภาพแรก พระเยซูกางแขนบนยอดโดม รอบๆประดับไปกระจกสี และกระเบื้องโมเสก ระหว่างเดินชมรอบ วิหารนี้ยังถูกใช้พิธีทางศาสนาอยู่เลย (ถ้ามี 2 ยูโร แนะนำร่วมทำบุญหยอดตู้ และจะได้ Coin เหรียญที่ระลึก แต่ละตู้ลักษณะเหรียญไม่เหมือนกัน เลือกตามชอบเลย)





บริเวณรอบวิหาร ถูกแนะนำเป็นจุดที่น่าซื้อของที่ระลึกจุดหนึ่ง ซื้อได้เลย เรียกว่าถูกกว่านี้หายาก




ขึ้นชื่อว่า ถิ่นน้ำหอม คนไทยต้องมาร้านนี้ Paris Look คนขายเป็นคนไทย พูดง่าย พร้อมทำ 
Tax Refund ลดทันที 12 % น้ำหอมขวดเล็กๆ น่ารักๆ สำหรับซื้อไปฝากก้อมีให้เลือกเยอะน้าา





ปิดท้ายวัน ด้วยการซ๊อปปี้ง... และหลุยส์ใบแรกในชีวิตของผม ก้อถูกสอยจากที่นี้ Galeries Lafayette



เติมพลัง กับการต้อนรับจาก พี่ภรณ์ เพื่อนท่านประยงค์ (เจ้าของร้านไทยเวียง2)
...มื้อนี้ขอชนกับแก๊งค์เด็กหน่อย อิ่มอร่อยกันสุดๆ ไปเลย ^^


Day 3 (17 May 2015)




ทุกวันอาทิตย์ และอังคาร บริเวณหน้าโรงแรมฯ จะมีตลาดยามเช้า บริการตั้งแต่ 8.00 - 14.00 น.
ทั้งอาหารสด ผัก ผลไม้ ไก่ย่าง ต่างๆ มากมาย ยิ่งถ้าเป็นร้านราคาประหยัดคนจะต่อแถวยาวมากกก 





พระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles)  กับห้องโถง ในตำนาน สถานที่เซ็นสนธิสัญญาแวร์ซายส์ 
เพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ ก็เกิดขึ้นที่นี้



แล้วก้อมาจบมื้อเย็นที่ Au Piedde Cochon ร้านอาหารฝรั่งเศสในตำนาน เปิดมา 64 ปี ด้วยเมนูซุปหัวหอมที่ลือลั่น และขาหมูแบบฝรั่งเศสทอดกรอบ....ก็อิ่มอร่อยกันปายยย






ปิดท้ายวันด้วยการล่องเรือ ชมทิวทัศน์บรรยากาศ แม่น้ำแซน (Seine) สุดโรแมนติก...^^



Day 4 (18 May 2015)





มาถึงจนได้....กับ พิพิธภัณฑ์ที่คนมาเยี่ยมชม อันดับ 1 ของโลก  ...ลูฟท์ (Musee du Louvre)



รูปที่มีคนให้ความสนใจ และถ่ายรูปมากที่สุด "โมนาลิซ่า" 

ภาพวาดสีน้ำมันโดย ลิโอนาร์โด ดาวินซี่  ภาพเหมือนที่ถือว่ามีความสมบูรณ์แบบที่สุดภาพหนึ่งของโลก




วีนัส แห่งมิโล (Venus) ... เคยเห็นแต่บนยี่ห้อด้าย 


โซฟิงค์ Sphinx ของอียิปต์ ก้อมีที่นี้นะจ๊ะ


รูปประติมากรรมทรงกรีก ต่างๆ น่าสนใจมากๆๆๆ



ภาพวาดสีน้ำมัน หลายพันรูป ชวนน่าสนใจ...

สรุปเดินได้เพียงด้านเดียว ไม่ครบชั้นด้วยซ้ำยัง 3 ชม. คงต้องเดิน 3 วันจิงๆ TT





ปิดท้ายทริป ด้วยการชมการแสดงที่ถือว่าดีที่สุดในยุโรป LIDO (ค่าบัตร 120 ยูโร) กับการแสดงชุดใหม่ ซึ่งจะเปลี่ยนทุกๆ 5 ปี (เรามาเจอของใหม่พอดี) ถือว่าคุ้มค่าจิงๆ
ทั้งบัลเล่ต์ ละครบร็อดเวย์ แจ๊ส กายกรรม ตัวตลก รวมไปถึง การเต้นเปิดอก...
และแชมเปญขวดใหญ่ 1 ขวด ^^






และพบกันใหม่ Paris 




....ขอขอบคุณ "พี่นก & โก๋เปี้ยก" แห่ง ร้านอาหารไทยเชียงรายใหม่
"พี่ภรณ์ & เฮียตี้" ร้านอาหารไทยเวียง 2 ขอบคุณ "พี่นิว" ที่พาไปแวร์ซายส์ Versailles
ขอบคุณ "เฮียเจียง" พาไปลูฟท์ Louvre ขอบคุณ "เจโรม &พี่ต้า" ที่พาไปลิโด้ Lido

ที่สุดของที่สุด ขอขอบพระคุณ "ท่านอธิบดี ท่านอ้อย & น้องบรื้ง" ที่อนุเคราะห์พาไปทุกที่ทุกสถาน  ด้วยที่พักดีเยี่ยมกับราคาแสนประหยัด convention Montparnasse พาชมหอไอเฟล Eiffel สัมผัสวิหารย่านมงมาร์ Montmartre เที่ยวเดินถนนซ็องส์เซลิเซ่ส์   ล่องเรือชมแม่น้ำแซน Seine ถ่ายรูปประตูชัย แวะเยี่ยมททท.ปารีส  รับประทานอาหารร้านดัง Chartier /  Leon / Au Pied de Cochon นำช๊อป ย่าน Lafayette Printemps & Paris look ....ที่สำคัญพานำขึ้นลงรถไฟฟ้า เจ็ดย่านน้ำทั่วกรุงปารีส แบบทะลุปุโปร่ง และอีกมากมาย ฯลฯ (พรรณนาไม่จบ)

ขอขอบพระคุณพี่ๆ เพื่อน ผู้พิพากษาสมทบแรงงานภาค 7...ท่านประยงค์และพี่น้อย ท่านธนู และซ้อ พร้อมน้องแป้ง และน้องปอง....

เป็นทริปแห่งความทรงจำดีๆ ทริปหนึ่งในชีวิตเลย ขอบพระคุณครับ #kornparis