วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

มัลดีฟส์ ...สวรรค์บนทะเล with RECUHOTEL6 #2015

มัลดีฟส์ ...สวรรค์บนทะเล with RECUHOTEL6  #2015



นับประสบการณ์ทางทะเลที่ผ่านมา “...หมู่เกาะสุรินทร์  เกาะเต่า เกาะนางยวน  เกาะสมุย เกาะแตน และสิมิลัน...” ก็ไม่อาจจะลบเลือน ภาพแห่งความใสของน้ำทะเลที่เห็นผืนทรายด้วยตาเปล่า น้ำทะเลสีฟ้าที่ทอดยาวสลับตามหมู่เกาะกับหาดทรายขาวสะอาด ในแม๊กกาซีน หนังสือท่องเที่ยวต่างๆ ที่ยังคงติดตราตรึงและค้างคาใจตลอดมาได้เลย “...Maldives”

พรุ่งนี้วันที่ 29 มิย.58 เวลา 6 โมงเช้า เราต้องเดินทางแล้ว แต่จะ 6 โมงเย็นวันนี้แล้ว (28 มิย.) เรายังไม่มีพาสปอตเลย ...(รำพัน TT)..ขณะที่ยืนรอการตอบรับจากเจ้าหน้าที่ TLScontact (สถานที่รับคำขอวีซ่าฝรั่งเศส-สวิส) “....ขอโทษนะครับ คือ เออ ผมได้ยื่นคำขอวีซ่าฝรั่งเศสไว้ตั้งแต่วันที่ 8 เมย. บัดนี้ล่วงมาวันที่ 28 เมย. ผมจึงได้เขียนอีเมล์ไปสถานฑูตฝรั่งเศสพร้อมกับอีเมล์จากเจ้าหน้าที่หลักสูตร RECUHOTEL มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ เพื่อขอเล่ม Passport ออกมาก่อนเพื่อที่จะต้องเดินทางไปศึกษาดูงานที่มัลดีฟส์ในวันพรุ่งนี้ ทั้งนี้เมื่อเช้า ทางสถานฑูตก็ได้ส่งอีเมล์ให้มารับเล่มได้ช่วงบ่าย โดยมีข้อความว่า “...The passport, together with the decision of the French Embassy, will be back to TLScontact this late afternoon. Service des visas/Visas section“

 ....ผมพยายามอธิบายอีกครั้ง....จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ขอรับเอกสารใบรับพาสสปอต พร้อมคีย์รหัสพาสสปอต “...ขอโทษครับ รอบสุดท้ายของพาสสปอตจำนวน 200 เล่ม ที่จะมารอบสุดท้าย 6 โมงวันนี้ ไม่มีชื่อคุณครับ”....เจ้าหน้าที่ TLS กล่าว (ความหวังแห่งมัลดีฟส์ สูญสิ้นไปฉับพลัน เวรแย้วว!!!) ขณะเดียวกัน ก็มีเจ้าหน้าที่ขนกล่องเหล็ก (ซึ่งทราบว่าบรรจุพาสสปอต) กล่องพาสสปอต ถูกแกะและPPถูกแยกเรียงตามชั้นต่างๆ ตามลำดับเลขที่โดยเจ้าหน้าที่ ..การจัดลำดับถูกจัดเรียงด้วยความเป็นระเบียบและเยือก เฮ้ย ใจเย็นมาก... ผ่านไปประมาณเกือบ 20 นาที เสร็จแล้วครับ เชิญคุณผู้หญิง (ซึ่งมาก่อนผม เป็นผู้หญิง ดูจากรูปพรรณสัณฐานน่าจะเป็นชาวอินเดีย) จิงๆคือเป็น Agent มารับ PP ให้ลูกค้าเพื่อที่วันมะรืนจะต้องไปฝรั่งเศส “....ของคุณแล้วครับ” เจ้าหน้าที่กล่าว และขอรับใบรับเล่มอีกครั้ง จากนั้นก็เข้าไปข้างหลัง Office พร้อมกลับมาบอกว่า “....ผมต้องเสียใจจริงๆ ตอนนี้สถานฑูตฝรั่งเศส ปิดทำการแล้ว ไม่มีใครอยู่ ทางผู้จัดการของเรา ขอให้คุณมาติดต่อในวันพรุ่งนี้ใหม่นะครับ”....พระเจ้าช่วย กล้วยทอดไหม้!!!....แล้วก่อนจะเรียงพาสปอตจะสละเวลาสักนิส แจ้งปัญหาให้สถานฑูตทราบก่อน 18.00 น. ไม่ได้เหรอ (ผมตะโกนในใจ) ทันใดนั้นเอเจ้นท์ของผมที่มารอเล่มตั้งแต่ 9 โมงเช้า ก็เข้ามาพยายามอธิบายช่วยพูด ...แต่ท่าทีความเสียใจจากเจ้าหน้าที่ TLS ยังมีต่อผมอย่างต่อเนื่อง



(Indra Jokhani ผู้หญิงใจดีคนนี้)

 “...ทำไมคุณไม่มีเบอร์โทรฉุกเฉินไปที่สถานฑูตเหรอค่ะ โดยแจ้งว่ามีเหตุการณ์สำคัญกระทบต่อการเดินทาง เกิดขึ้นที่นี้”  เอเจ้นท์ผู้หญิง พูดไทยปนอังกฤษสวนแก้ต่างเพิ่มให้ (ทราบภายหลังชือ  Indra Jokhani) .... Dead  Air ผ่านไปประมาณ 8 นาที พวกเราก็ไม่ยอมกลับ ...ทันใดนั้น ฝรั่งตาน้ำข้าว ผจก.ศูนย์ TLS ออกมาพูดด้วยตนเอง ว่าได้ติดต่อสถานฑูตแล้ว พบเล่มของเราอยู่ที่นั้นจริง และกำลังประสานหัวหน้าฝ่ายวีซ่าที่ได้กลับบ้านไปแล้ว ให้กลับมาเปิดออฟฟิต พร้อมให้เราไปรับPPได้ที่สถานฑูตฝรั่งเศส ภายในชั่วโมงหลังจากนี้ ....ร่ำลาพรรคพวกอย่างเร็ว รีบเรียกมอไซด์รับจ้างอย่างไว....เมื่อถึงสถานฑูต แจ้งชื่อว่ามาพบหัวหน้าวีซ่าชื่อ Mr.Jeeramy เจ้าหน้าที่จึงพาเข้าไปข้างใน เมื่อพบ Mr.Jeeramy ก็ขอโทษยกใหญ่ พร้อมบอกว่าเป็นความผิดพลาด และเขียนข้อความให้เราเอา PP ไปมัลดีฟส์ก่อนเมื่อกลับมาค่อยนำมาให้ที่นี้ หรือที่ TLS ก็แล้วแต่เรา....จากนั้น PassPort ก็มาอยู่ในมือเรา....”ได้ไปมัลดีฟส์แล้วเว้ยย !!!! อิอิ”




เช้า 6 โมง 29 เมย. พวกเราชาว RECUHotel6 ก็มารวมกันที่เคาเตอร์สายการบินศรีลังกา  สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อมุ่งหน้าไปสนามบินโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา โดยเที่ยวบิน UL403 เพื่อเข้าชมดูงานโรงแรม 2 แห่งที่นี้ก่อน ....“เมืองโคลัมโบ”  ถือเป็นเมืองหลวงของประเทศศรีลังกา เป็นเมืองทางด้านเศรษฐกิจการค้า ด้วยความที่ประเทศศรีลังกาเคยถูกปกครองด้วยประเทศอังกฤษ ทำให้ลักษณะอาคารบ้านเรือนต่างๆจึงได้รับอิทธิพลด้านสถาปัตยกรรมจากประเทศอังกฤษ  เมื่อมาถึง พวกเราได้แบ่งการเดินทางเป็น 2 รถบัส บัสละ 2 กลุ่ม โดยมุ่งหน้ารับประทานอาหารมื้อแรกในศรีลังกาที่โรงแรม Cinnamon Lakeside Colombo จากนั้น จึงมาเยี่ยมชมและศึกษาดูงาน โรงแรมแห่งแรกของเราในทริปนี้ Casa Colombo Hotel (Boutique Hotel) ด้วยการจอดรถ ณที่นี้ ทำให้เราเชื่อได้ว่าคนโคลัมโบ ขับรถเก่งจิงๆ





“Casa Colombo Hotel” ... เดิมเป็นบ้านพักสำหรับคหบดี มีอายุกว่า 200 ปี มีห้องทั้งหมด 12 ห้อง พนักงานทั้งหมด 45 คน ราคาห้องประมาณคืนละหนึ่งหมื่นบาท OCC 99 % ล๊อปบี้ที่นี้สวยงามโดยเฉพาะโต๊ะรับแขก ยิ่งเมื่อเข้ามาห้องอาหารต้องสะดุดตากับภาพผนังห้องที่เป็นรูปก้อนเมฆและเทพเจ้า
 พร้อมกับใบพัดลมกลางห้องขนาดใหญ่ ห้องพักแต่ละห้องมีรูปแบบตกแต่งที่แตกต่างกันไป  จุดเด่นอยู่ที่การตกแต่งห้องพัก ผนังและการใช้วัสดุ ผสมผสานไปกับอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ที่ทันสมัย (โทรศัพท์ในห้องน้ำมีไฟด้วย 55) เห็นได้ชัดถึงการใส่ใจในทุกรายละเอียด โดยเฉพาะทีวีที่หันได้ 360 องศา ผนังฝ้าสไตล์ยุโรป กรอบไม้ลายฉลุต่างๆ บริเวณชั้น2 มีการนำรูปภาพก่อนการปรับปรุงโรงแรม และระหว่างการปรับปรุงให้ดู (เรียกแทบจะทำโรงแรมใหม่หมดเลยทีเดียว บางส่วนใช้วัสดุในสมัยนั้นเช่น กระเบื้องปูพื้น)  มีทางเชื่อมห้องพักที่เล่นโดยใช้ไฟ Backlight ซึ่งสามารถสร้างบรรยากาศความสนุกภายในโรงแรม รวมทั้งส่วนสระว่ายน่ารัก มีการนำประติมากรรมหุ่นมาสร้างเสน่ห์เก๋ๆในพื้นที่ได้ทีเดียว ...ดื่มด่ำไปได้ซักพัก จึงมุ่งหน้าสู่ การเยี่ยมชมและศึกษาดูงานโรงแรมที่สองของเรา “Pasadise Road Tintagel Hotel”

เพียงประมาณ 20 กว่านาที เข้าซอยถนนก้อมาถึง “Pasadise Road Tintagel Hotel” 
...ที่นี้ เคยเป็นบ้านพักเก่าของนายกรัฐมนตรี ตัวอาคารสไตล์โคโลเนียลสวยงาม มีอายุกว่า 83 ปี และมีห้องพักเพียงแค่ 10 ห้อง ราคาประมาณคืนละ 10,000 บาท



 จุดเด่น อยู่ที่การตกแต่งแบบเรียบหรู ร่วมสมัยในโทนสีเข้มกับสไตล์จีน มีการอนุรักษ์เฟอร์นิเจอร์เก่าได้อย่างดี รวมถึงการแบ่งสัดส่วนพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งส่วนของ Reception ส่วน Lobby ส่วนห้องอาหาร (เล็กแต่สวยงาม) ส่วนบาร์ ส่วน Spa  สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่งห้องอ่านหนังสือ และห้องจัดเลี้ยงเฉพาะสุดพิเศษ เรียกว่า เดินรอบโรงแรมเหมือนเดินอยู่ในเขาวงกตเลยทีเดียว ถ่ายรูปกันพอสมควร (ระหว่างเดินทางกลับ อ.ธีร์ พยายามตั้งคำถามว่าถ้าคุณมี 100 ล้าน คุณจะซื้อโรงแรมอะไร? เพื่อการลงทุน ระหว่างสองโรงแรมและเพราะอะไร?...) คณะพวกเราจึงเคลื่อนย้ายเพื่อเข้าที่พักของคืนนี้ คือ “The Kingsbury  Hotel Colombo” (Colonial Style) ที่นี้อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว และที่สำคัญคือ ร้านปู The Crab ที่มีชื่อเสียง
ห้องที่นี้กว้างและมีอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ครบครัน (internet ฟรี&แรง) เสียอย่างเดียว คือ วิวที่จอดรถ ของห้องพวกเรา 328 


นอนตี 2 ตื่นตี 3 เพื่อออกเดินทาง ตี 4 ของวันที่ 30 เมย. มุ่งหน้าไปสนามบินโคลัมโบ ช่างเป็นภาพที่สวยงามสำหรับการตื่นนอนครั้งนี้จิงๆ แต่เพื่อเป้าหมายที่สำคัญยิ่งของเรา Maldives จึงกินแซนวิสที่โรงแรม Pack ให้บนรถบัสต่อไป เราเดินทางโดยเที่ยวบิน UL101 ออกเวลา 7 โมงกว่าๆ เพียงชั่วโมงก้อมาถึงสนามบิน Male’ ภาพแรกเมื่อถึงท่าเรือ ก็เห็นความสวยงามที่แตกต่าง "น้ำทะเลสีฟ้าาาาา" ถ่ายรูปกันครึกโครมสักพัก พวกเราก้อทยอยขึ้นสปีคโบ๊ท ความสวยงามก็หมดลงทันทีที่ขึ้นเรือ เมื่อฝนตกใหญ่ ...เมื่อถามคนเรือ บอกว่าช่วงนี้จะเข้าสู่ช่วงมรสุมนิดหน่อย ท้องฟ้าจะสวยสู้ช่วงก่อนนี้ไม่ได้  ระหว่างเรือมุ่งหน้าเกาะที่พักของเรา ก้อปรากฏมี “พายุหมุน” ถัดไปเราไกลๆ สร้างความตื่นตาตื่นใจไม่น้อย  ประมาณ 40 นาที พวกเราก้อมาถึง Jumerirah Vittaveli (Luxury Resort) @Maldives  






ณ ที่นี้ Mr.Graham Kiy General Manager ได้มาให้การต้อนรับและบรรยายโดยสรุปให้ฟัง....Jumerirah เปิดให้บริการ 3 ปี ได้สัมปทานกับทางรัฐบาล จากทั้งหมดมีกว่า 1,000 เกาะ ปัจจุบันมีสัมทานไปกว่า 200 - 300 เกาะ โดยจะสัมปทานเป็นเกาะๆไป มีอายุสัมปทาน 35-55 ปี เราอยู่บนเกาะ Bolifushi เป็นเกาะทางใต้ของ Male คำว่า Vittaveli เป็นคำท้องถิ่น ซึ่งแปลว่า หอย หมายถึง เกาะที่มีเปลือกหอยจำนวนมาก เกาะแต่ละเกาะในมัลดีฟส์จะถูกสร้างขึ้นมาด้วยซากปะการังก่อตัวขึ้น สำหรับที่นี้ มีห้องทั้งหมด 89 ห้อง  โดยจะแบ่งเป็นโซนพระอาทิตย์ตก กับพระอาทิตย์ออก ราคาห้องพักเฉลี่ยประมาณ 1,000 US (31,000 บาท)


 จุดเด่นที่นี้ คือ หน้ารีสอร์ทเวลาประมาณ 5 โมงเย็น จะมีการให้อาหารฝูงปลากระเบน (10-20 ตัว บางทีก้ออาจมีลูกปลาฉลามเข้ามาด้วย) อากาศที่นี้จะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงมรสุม พค.  - กย. กับช่วงอากาศดี คือ ตค. – เมย. พนักงานทั้งหมด 360 คน ทุกคนจะพักที่นี้ มีที่พัก 140 ห้องให้บริการพนักงาน เงินเดือนสำหรับผู้บริหารประมาณ 4,500 – 7,000 เหรียญ สำหรับพนักงานปฎิบัติงานทั่วไป ประมาณ 300 เหรียญ แต่จะมี Service Charge ประมาณคนละ 1,000 เหรียญ ทุกอย่างที่นี้เราขนจาก Land มาทั้งหมด น้ำและดีเซล เป็นปัจจัยหลักของที่นี้ เราใช้น้ำมันดีเซล สำหรับการปั่นกระแสไฟทั้งหมดของรีสอร์ท เฉพาะค่าใช้จ่ายน้ำมันดีเซลประมาณ 100,000 เหรียญ โต๊ะเครื่องใช้ต่างๆ 75 % มาจากเมืองไทย ที่เหลือมาจาก บาหลี อินโดเซีย ตามลำดับ การกำจัดขยะก็เช่นกัน เราจะต้องขนขยะทุกอย่างไปยังเกาะส่วนกลางเพื่อกำจัดโดยตรง ส่วนน้ำเสียเรามีระบบบำบัดที่ดี






และแล้วความเหนื่อล้าก้อมาเยือน พวกเรา (หนึ่ง วิน และผม) ได้ห้องพัก Zone Coral 708  ประเภท Water villas with pool sunrise (ราคาประมาณ 1,430  US รวมภาษี ก็ประมาณ 1,760 Us หรือประมาณ 52,800 บาท อันเนื่องมาจาก Lagoon Villas เต็ม) เข้ามาในห้องพัก เรียกว่าในครบสูตรจิงๆ ......เพื่อไม่ให้เสียเวลา ว่าแล้วก้อขอตัวไปกระโดดน้ำทะเลใสๆ ก่อนนะครับ


มาถึงแย้ว Maldives..... เย้ เย้!!




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น