โดย กร เมืองไทย
เย็นของวันที่ 22 พฤษภาคม 58...หลังจากได้ยินการรายงานข่าวของสำนักข่าวทางวิทยุ "..การเสวนาการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวด่านสิงขร ณ โรงแรมประจวบแกรนด์ วันนี้ มีผู้มาร่วมจำนวนมาก...." เท่านั้นหล่ะ ...ก้อเลยนึกขึ้นได้ว่า เราได้ลงชื่อแจ้งร่วมทริปนี้ด้วยนี่น่า จึงได้ติดต่อไปยังผู้จัดงาน ซึ่งได้รับคำตอบว่า..."เต็มแล้ว" รายชื่อของท่านไม่ปรากฏ เพราะจากจำนวนเป้าหมาย 200 คน แต่มีผู้สมัคร 500 กว่าคน แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าจะตรวจสอบดูก่อนแล้วจะโทรมาแจ้ง.... ทิ้งระยะไว้ 10 นาที ก้อยังไม่มีใครโทรมา...จึงตัดสินใจโทรกลับไป ...คราวนี้
"...ต้องการกี่ที่นะค่ะ" เจ้าหน้าที่ถามย้ำ
"2 ท่านครับ พอเป็นไปได้ไหมครับ" ผมตอบกลับไป
"โชคดีจิงๆค่ะ เผอิญมียกเลิก 2 ท่านพอดี"...เจ้าหน้าที่ตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ
"แต่ต้องมาลงทะเบียน พรุ่งนี้เวลา 8 โมงตรง นะค่ะ" เจ้าหน้าที่ย้ำหนักแน่น
เย้ เย้ เย้!!!!
จากนั้นจึงเริ่มเก็บข้าวของทันที เพื่อเดินทางไปค้างที่ประจวบคืนนี้ และเข้าด่านพรุ่งนี้เลย แต่ยังไม่ลืมที่จะโทร...."เอิรท์ เก็บของเลย เราจะไปกันคืนนี้" ทายาท สายน้ำวัลเล่ย์รีสอร์ท
"มะริด" เมืองท่าแห่งอุตสาหกรรมประมง ....มีประวัติความเป็นมากว่า 100 ปี แม่น้ำสำคัญของที่นี้คือ แม่น้ำตะนาวศรี อยู่ห่างจากมะริด 80 กม. ในอดีตชาวมะริดเป็นชาวเมืองที่อยู่อย่างเรียบง่าย ทำให้ประเทศต่างๆจึงมารุดราน ทั้ง ไทย หงสาวดี อังวะ อังกฤษ หรือกระทั่งพวกแขก มุ่งที่จะมาครอบครอง ทำให้เกิดรากฐานของคนหลายสัญชาติในเมืองมะริด
... สมัยก่อนการค้ามีความเจริญ โดยเรือสำเภา ผ่านจากมะริด ทวาย ล่องทางแม่น้ำตะนาวศรี เป็นสำคัญ
... เมืองท่าด้านการประมง กับเรือประมงขนาดใหญ่ กว่า 1,200 ลำ และเรือเล็กทั่วไปกว่า 10,000 ลำ
....สินค้าประมงจากมะริด ถูกจัดส่งไปที่ท่าเรือระนอง ภายใน 48 ชม.
... ค่าไฟฟ้าของมะริด แพงกว่าไทยถึง 4 เท่า จึงทำให้มะริดไม่ผลิตสินค้าเอง จะนำเข้าสินค้าจากไทยผ่านระนอง (100 %)
.. ประวัติศาสตร์ ที่วัดวังหน้า พระยาลิชัย เคยมาสร้างโบสถ์ สมัยกรุงสุโขทัย ยกทัพมาครอบครองที่นี้
... มะริด มีวัดไทย 12 วัด มีเกาะที่สวยงาม ปะการังที่สมบูรณ์ และมีศิลปวัฒนธรรมที่ยังคงอยู่มากมาย
เหล่านี้รึป่าว???...จึงทำให้ มะริด ถูกกล่าวขาน และเป็นที่น่าค้นหา
.... เช้าของวันที่ 23 พค.58 รีบตื่น 7 โมง เพื่อลงมาทานอาหารและประสานรถที่จะไปส่งที่ด่านสิงขร ..ซึ่งได้รับแจ้งว่าให้เอารถไปจอดที่หน้าด่านเลย จากนั้นจึงอำลา โรงแรมประจวบแกรนด์ทันที
8 โมงมาถึง จุดรับลงทะเบียน แจ้งชื่อ ชำระเงิน 3,000 บาท พร้อมรับสายคล้องคอระบุเลขที่หมายเลขรถ ซึ่งของผมคือ คันสุดท้าย ตามระเบียบ "หมายเลข 16"
เข้าไปสู่หน้าด่าน ผู้คนคับคั่งมากกก พร้อมกับเข้าสู่พิธีการการเปิดจุดผ่อนปรนชั่วคราว สิงขร - มู่ดอง โดย ผู้ใหญ่จากทั้งสองฝ่าย ผู้ว่าวีระ ศรีวัฒนตระกูล จากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และผู้นำของพม่า
จากนั้น มีการแสดงของฝ่ายไทย - และพม่า สลับกัน 6 ชุด พร้อมล่ามของไทย - พม่า
มีการกล่าวต้อนรับ และโชว์ BorderPass จากผู้นำทั้งสองฝ่าย
มีการกล่าวต้อนรับ และโชว์ BorderPass จากผู้นำทั้งสองฝ่าย
สัญญาณปล่อยตัวนักท่องเที่ยว โดยเริ่มจากปล่อยนักท่องเที่ยวฝ่ายพม่า กว่า 100 คนก่อน
และตามด้วยฝ่ายไทยกว่า 260 ชีวิต โดยมีผู้ว่าประจวบฯ ค่อยส่งนักท่องเที่ยวไทยเดินข้ามด่าน







เส้นทางถนนช่วงตะนาวศรี - มะริด มีการขยายถนน พร้อมจัดวางกองหินเป็นช่วงๆ
แต่ฝนเริ่มตก ถนนลูกรัง จึงเริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นถนนโคลนลูกรัง
แต่พอเข้าเขตมะริด สองฝั่งจะเป็นสวนปาลม์ สภาพถนนลาดยาง ขับสบายขึ้นเยอะ
เวลา 17.00 น. กว่าๆ ก็มาถึง โรงแรม Grand Jade ราคาที่พักที่นี้ 40 US มีห้องพัก 150 ห้อง
ยังสร้างไม่เสร็จดี พวกเราก้อมาพักแย้ว ซึ่งโรงแรมต่อเชื่อมกับศูนย์กลางค้า ที่มีเจ้าของเดียวกัน


จากนั้นจึงมาสักการะ วัดเต็งดอจี วัดประจำเมืองมะริด อยู่บริเวณเนินเขาใจกลางเมือง
มีพระพุทธรูปไทย ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าขององค์เจดีย์ จากวัดนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์
ของเมืองมะริดได้เกือบ 360 องศา
จากนั้นจึงมาขึ้นรถ แบ่งเป็นรถบัส รถตู้ และรถsuv รวม 16 คัน ส่วนผมนั่งรถ suv ยี่ห้อฮุนได
คณะของเราออกเดินทางประมาณเวลา 10.30 น.
ขับมาได้ 3 กิโล ก้อจะพบกับด่านภายในของพม่า ทหารเพียบ
ซึ่งจิงๆต้องเสียค่าเข้าด่านอีกคนละ 80 บาท
เริ่มเดินทางจากด่านมูด่อง สู่ หมู่บ้านตะนาวศรี ใช้ระยะประมาณ 100 กม. ถนนส่วนใหญ่เป็นลูกรังละเอียด เมื่อเข้าไปเรื่อยๆ ช่วงขึ้นเนินเขาจะสลับเป็นถนนลูกรังหินใหญ่ขึ้น ต้องขับข้ามเขา
โดยความเร็ว 40 - 50 กม/ชม. เต้นมันส์พะยะคับ
และแล้วประมาณ บ่ายโมง ก็เข้ามาย่านหมู่บ้านตะนาวศรี มารับประมาณอาหารกันที่วัดไทย
กับข้าวก็เหมือนแบบบ้านเรา ประกอบด้วย น้ำพริก ต้มผักหวาน กุ้งตัวใหญ่ ปลาทอด ผัดผัก ทอดมัน
และไข่เจียว(แบบไข่กวน)
เจอ พระพม่าอายุ 100 กว่าปี ก็ขอทำบุญเงินบาท เอาฤกษ์เอาชัยซะหน่อย
ทานเสร็จก็ออกเดินทางต่อในระยะทางอีก 80 กม. ก่อนออกจากหมู่บ้าน จะต้องเจอสะพานตะนาวศรี
ทิวทัศน์ระหว่างทาง พบเห็นได้กับฝูงควาย กว่า 30 ตัว ฝูงใหญ่ซึ่งหาได้ยากแล้วในบ้านเรา
เส้นทางถนนช่วงตะนาวศรี - มะริด มีการขยายถนน พร้อมจัดวางกองหินเป็นช่วงๆ
แต่ฝนเริ่มตก ถนนลูกรัง จึงเริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นถนนโคลนลูกรัง
แต่ด้วยความเป็นรุ่นแรก การเดินทางจึงต้องฝ่าฟันกันหน่อย ขาไป รถเสีย 1 คัน ยางแตก 1 คัน
สะพานชำรุด คนต้องลงจากรถบัส ให้รถบัสผ่านก่อน แล้วค่อยขึ้นใหม่ (ขากลับ รถยางแตก 2 เส้น 1 คัน)
แต่พอเข้าเขตมะริด สองฝั่งจะเป็นสวนปาลม์ สภาพถนนลาดยาง ขับสบายขึ้นเยอะ
เวลา 17.00 น. กว่าๆ ก็มาถึง โรงแรม Grand Jade ราคาที่พักที่นี้ 40 US มีห้องพัก 150 ห้อง
ยังสร้างไม่เสร็จดี พวกเราก้อมาพักแย้ว ซึ่งโรงแรมต่อเชื่อมกับศูนย์กลางค้า ที่มีเจ้าของเดียวกัน


จากนั้นจึงมาสักการะ วัดเต็งดอจี วัดประจำเมืองมะริด อยู่บริเวณเนินเขาใจกลางเมือง
มีพระพุทธรูปไทย ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าขององค์เจดีย์ จากวัดนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์
ของเมืองมะริดได้เกือบ 360 องศา
แวะเยี่ยมชมตลาดนัดริมทะเล ส่วนใหญ่เป็นแผงร้านอาหาร ร้านขายของยังน้อยมาก
ตอนเย็น เป็นพิธีเลี้ยงต้อนรับคณะจากฝ่ายไทย โดยนาย เมียะโกะ มุขมนตรีภาคตะนาวศรี
เรียกว่าจัดเต็มกันทีเดียว ทั้งอาหาร และการแสดงอีกกว่า 10 ชุด
ปิดท้ายวัน ด้วยการเข้ารับมอบเกียรติบัตร กิจกรรมท่องเที่ยวมะริด รุ่นแรก ในการเฉลิมฉลองเปิดด่านสิงขร จุดผ่อนปรนพิเศษแห่งแรกของโลก จาก ท่านอูเมียวโกะ มุขมนตรี ภาคตะนาวศรี
"เมืองมะริด"...ในสายตาผมแล้ว ถือว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์อย่างยิ่ง ทั้งบ้านเรือน อาคารที่สร้างแบบมีเอกลักษณ์ ความดั้งเดิม ดุจธรรมชาติที่สมบูรณ์ ผสมผสานไปกับโบราณสถาน วัดวาอารามแบบพุทธที่มีความเข้มข้นในทุกเนื้องานของสถาปัตยกรรม รวมถึงความเป็นธรรมชาติของคน การแต่งกาย วัฒนธรรม ตลอดจนความเป็นเมืองที่ผสมผสานของคนหลายชาติที่อยู่ด้วยกัน ทั้งพม่า มอญ อิสลาม ต่างๆ
เมื่อลองสัมผัสดูแล้ว...พม่าเมืองยิ้ม ณ เมืองมะริด ก็มีเหมือนกันนะ
สักวัน แล้วเราจะกลับมา.....เจซู ติน บาแด
ปล. ขอบพระคุณภาพถ่ายบางส่วน จาก คณะผู้ร่วมทริปครั้งนี้ :)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น