วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หลวงพระบาง…มนต์เสน่ห์ แห่งวิถี และธรรมชาติ

หลวงพระบาง…มนต์เสน่ห์ แห่งวิถี และธรรมชาติ  



“หลวงพระบาง” เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและที่ยังคงวิถีชีวิตของประเทศลาว แหล่งท่องเที่ยวจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่จะไป Slow life ที่นี้ …และคิดในใจเสมอว่าสักวัน จะต้องมาที่นี้ให้ได้ (แค่คิดก้อชิวแล้ว) :)

อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ 6 โมงเช้า ซึ่งก็ต้องเดินทางไปขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ แล้ว (เพชรบุรี -กรุงเทพ) …เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและเข้าใจ พื้นที่ ขนบธรรมเนียมแบบเร่งรัดที่สุด… หนังเรื่อง “สะบายดี หลวงพระบาง” ใน Youtube จึงถูกนำมาดูครั้งแรกก่อนนอน จนกระทั่ง ตี 1 ครึ่ง จึงได้ล้มตัวนอน…


9 ตค. แปดโมงเช้า เพิ่งจะถึงด่านทางด่วนที่พระราม 2 ....แนวโน้มกับการตกเครื่อง กำลังจะเกิดขึ้นครั้งแรก….“พี่ตุ้มๆ..พี่เคยตกเครื่องไหมเนี่ยะ” ผมถามบัดดี้ร่วมทาง ขณะที่เบื้องหน้าบนถนน เต็มไปด้วยรถที่จอดและเคลื่อนตัวช้าๆ เต็มพื้นที่บนทางด่วน ท่ามกลางฝนตกปรอยๆตลอดทาง ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น แข็งใจ ค่อยๆขับลัดเลาะริมถนนไป พี่ตุ้มก็พยายามร้องเพลงกลบเกลื่อนความเครียด พอเลยสะพานแขวน…จึง ค่อย ยาง ชั่ว….และสุดท้ายเราก้อมาทัน 9 โมง ก่อนที่ขึ้นเครื่อง 10 โมง (PG941 Bangkok Airways ตั๋วไปกลับ 10,550 บาท) จากนั้นคณะ SME Advance Gang จึงมารวมกันอีกครั้ง (นำโดย พี่มินท์ชี้ช่องรวย พี่เปิ้ลเบ็นซ์ ดาน้ำสะอาด ตุ้มข้าวตัง และผม กรไดมอน)


เพียง 2 ชม. ก้อมาถึง “สนามบิน Luang Prabang International Airport” จากนั้น ชีวิตการท่องเที่ยวของพวกเรา จึงถูกกำหนดโดย “อ้ายทอง” ไกด์ลาวคนขับรถคนนี้ “สะบายดี” คือคำทักทายแรกที่พบกันที่สนามบินนี้ พวกเราลงขันรวมกันคนละ 600  บาท (ประหยัดมากก) เพื่อแลกเงินกีบในอัตรา (230 กีบ ต่อ 1 บาท) จากนั้นจึงค่อยมาศึกษาโปรแกรมที่พี่มินท์เตรียมมา บระเจ้า วันแรก ก้อวัดกว่า 5 แห่ง เราเริ่มสต๊าฟด้วยอาหารมื้อแรก…@หลวงพระบาง “…ขอเป็นแบบริมน้ำโขงหน่อยได้ป่าว” เสียงเรียกร้องขอความประทับใจกับอ้ายทอง  ซึ่งอ้ายทองก็พาเรามาที่ร้านอาหารติดริมโขง ตามที่ตั้งใจ เพียงมื้อแรก จัดไป  ส้มตำลาว ปลาปิ้ง ไส้อั่ว ไก่ทอด แกงโฮ่ะ และเครื่องดื่มสารพัดสิ่ง ซึ่งพบว่าคนที่นี้ น้ำผลไม้ปั่นมีใส่กะทิไปด้วย 284,000 กีบ (1,200 บาท)

อิ่มอร่อยแล้ว จึงมาจิบชิวกาแฟกันที่ร้านนิยมของชาวต่างชาติ ณ ที่ลาวนี้ นั่นคือ “JOMA” ร้านที่นี้ ตกแต่งคลาสิค เบอเกอรี่ที่ทำสดใหม่ทุกวัน โดยมีภาพเซ็กซี่ Signature ที่ใครมาก้อต้องถ่ายกับภาพนี้


เพลิดเพลินกับมุมถ่ายภาพต่างๆ มากมาย จึงค่อยเคลื่อนตัวไปท่องเที่ยว จุดแรกที่เก็บ คือ ย่านการค้า “ตลาด Dara Market” ที่นี้จะเป็นตลาดไฮโซ นิดหนึ่ง คนเดินไม่เยอะ แต่สินค้า(เครื่องเงิน) พอเชื่อใจได้ (อ้ายทองบอก) ราคาอาจแพงกว่านิด ซึ่งจะถูกเปรียบเทียบกับ ตลาดโชสิน ที่อยู่ถัดไป (ราคาจะถูกกว่า) สินค้าส่วนใหญ่เป็นผ้า เครื่องเงิน และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่นี้ผมได้เสื้อผ้าฝ้ายหลวงพระบางมาหนึ่งตัว ประมาณ 170 บาท“วัดวิชุนราช” ที่นี้มีสัญลักษณ์ที่เด่นคือ เจดีย์ทรงคว่ำ และในอุโบสถมีพระไม้ เก่าแก่กว่า 700-800 ปี จำนวนมาก เราต้องชำระค่าเข้าคนละ 20,000 กีบ (ประมาณ 86 บาท) สักการะพระในอุโบสถเพื่อเป็นสิริมงคลแล้ว เดินถัดมานิดเดียวรั้วติดกัน ก็มาถึงวัดที่ 2 ของเรา คือ “วัดฮารามอุตะมะทามิ” ที่นี้เราสักการะข้างนอกพระอุโบสถ (เพราะเก็บตังค์อีกแย้ว) เดินชมบรรยากาศวัด ก็ตกลงว่าขอไปวัดไฮไลท์ที่ทุกคนต้องมาเมื่อมาถึงหลวงพระบาง เลยแล้วกัน นั่นคือ “วัดเชียงทอง” ณ  เวลา 17.00 น. ก็มาถึงด้วยเกรงว่าพิพิธภัณฑ์จะปิด อ้ายทองบอกให้เราไปชมก่อน (ถ้าถ่ายรูปอย่างงี้ เด่วพิพิธภัณฑ์วัดปิดกันพอดี) แต่อ้ายทองก็ไม่ลืมที่ชี้ท่าน้ำหน้าวัดและบอกเล่าให้พวกเราว่า ท่าน้ำที่นี้ คือ บางส่วนบางตอนของฉากในหนังเรื่องสะบายดี เป็น ซ็อคเด็ดของหลวงพระบางที่คนมักตามรอยกันมาเช่นกัน เข้าชมพิพิธภัณฑ์ หน้าบานมีลักษณะการแกะสลักลวดลายไม้ปิดทองที่สวยงามมาก ข้างในมีโกฐสำหรับเก็บอัฐิของกษัตริย์และพระพุทธรูปน้อยใหญ่จำนวนมาก จากนั้นอ้ายทองได้แนะนำให้เราไปสักการะ “พระม่าน” พระคู่วัดที่เป็นที่เคารพนับถือของชาวหลวงพระบาง มีลักษณะเป็นทองคำแท้ ปีหนึ่งๆจะเปิดให้บุคคลทั่วไปกราบสักการะแค่ปีละครั้ง แต่ครั้งนี้พิเศษสุด เมื่ออ้ายทองรับอาสาคุยกับเจ้าอาวาสขอให้พระมาเปิดทำให้พวกเราได้มีโอกาสกราบสักการะเพื่อเป็นสิริมงคลได้อย่างใกล้ชิด เรียกว่าชื่นมื่นกันไปตามๆกัน


เดินไปอีกนิดจะพบศาลาข้างๆ ซึ่งมีพระนอนองค์ใหญ่ และพระพุทธรูปขนาด 10 หน้าตัก ตั้งอยู่ ให้ทดสอบคำอธิษฐาน ถ้าสำเร็จจะยกพระขึ้น และถ้าไม่สำเร็จจะยกไม่ขึ้น (ผมอธิษฐานเกี่ยวกับธุรกิจ ซึ่งก็ยกขึ้นเหมือนกัน แต่ก้อหนักนะ) อ้ายทองพยายามจะเร่งให้พวกเรามารวมที่ศาลาใหญ่ ซึ่งบอกว่าจะมีพิธีสวดมนต์ต่างๆ อีกทั้งวันนี้โชคดีที่มีคณะทัวร์จากฝรั่งเศส ที่ปีหนึ่งจะมาหนหนึ่ง (จริงป่าวไม่รู้) ซึ่งทางวัดจะมีพระมาทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ มีการผูกข้อมือโดยผู้เฒ่าผู้แก่ของหลวงพระบาง และพวกเราก็เนียนๆกับเขาไป  พิธีของเค้าก็อบอุ่น น่ารักดี …เมื่อเคลื่อนตัวเยอะ พลังงานก็ถูกใช้เยอะเริ่มหิว เสร็จพิธี พวกเรามุ่งหน้าสู่โรงแรมเพื่อไปเก็บของ ที่พักทั้งสองคืนของเรา @หลวงพระบาง ก็คือ “The Belle Rive” ก่อนจะมุ่งไปที่ “ตลาดมืด Night Market”  รถตู้โดยอ้ายทอง มาจอดทิ้งให้พวกเราได้เดินตามสบาย โดยบอกแผนผังของพื้นที่ตลาดนัดให้เราพอทราบพิกัด  เพียงร้านแรกที่พวกเราเจอ ร้านเสื้อแบกะดิน จัดกันไปเลยกับเสื้อ ข้อความหลวงพระบางคนละตัว (230,000 กีบ เรียกว่าไม่ต้องดูร้านอื่นๆกันเลย) เดินชมพร้อมตื่นเต้นไปกับสินค้าที่วางสองข้างทาง ทั้ง ภาพเขียนสไตล์ศิลปินลาว กระบอกไม้ไผ่ใส่มือถือ งานผ้าซิ่น ผ้าปูเตียงถักลายมือ เครื่องเงินรูปแบบต่างๆ จนมา…แปลกตา กับ ขวดสุรา (เหล้าดอง) ที่ข้างในมี งู แมลงป่อง ตะขาบ ฯลฯ (นึกว่ามาที่ห้องทดลองวิทยาศาสตร์)  มารับทราบภายหลังว่า ที่นี้ว่าคนลาว เค้าไม่ทานกัน แต่จะทำไว้ขายนักท่องเที่ยวชาวจีน ญี่ปุ่น เป็นหลัก  จากนั้นก้อมาที่ซอยตลาดบุฟเฟ่ต์ มีร้านค้าหลากหลาย ทั้งขายแบบกับข้าว ร้านส้มตำ และร้านแบบบุฟเฟ่ต์ จานละ 40 บาท (ตักได้ไม่อั้น) ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว Backpack ที่นี้ พวกเราเลือกที่จะสั่งจากร้านต่างๆมากกว่า  ปลาปิ้ง ส้มตำ …และเริ่มลิ้นลองเบียร์ลาว ครั้งแรก ณ ที่นี้  อิ่มอร่อยจึงนั่งรถสามล้อกลับรร. (คนละ 40 บาท)


คืนนี้ ผมพักห้องเลขที่ 3 ห้องพักคืนนี้ผม มี 2 ชั้น พื้นที่ไม่เยอะแต่ออกแบบได้ดี มินิบาร์ทานได้หมด (เพราะรวมค่าห้อง)ไปแล้ว ที่สำคัญมองซ้ายมองขวา เปิดทุกบาน “ที่นี้ ไม่มีทีวี” ดีจัง….ไม่ต้องดู

10 ตค.58 …ตื่นเช้ามาด้วยความสดใส ตามนัดหมาย 9 โมงเช้า มองเบื้องหน้าเป็นวิวแม่น้ำโขง อากาศเย็นสบายๆ พวกเราปรับตัวให้สอดคล้องกับบรรยากาศ โดยใส่เสื้อหลวงพระบางกันทุกคน ลงมาลิ้มลองอาหารเช้าของโรงแรม ริมโขง (Full Set) เต็มอิ่มกันแล้ว  อ้ายทองก็แนะนำว่า อยากให้ไปพระราชวัง (พิพิธภัณฑ์ลาว) เพราะจะปิด 10 โมง กว่าจะไปถึงพระราชวัง ปกติเดิน 10 นาที ก็จะถึง แต่พวกเราใช้ระยะเวลากว่า 40 นาที (ถ่ายรูปตลอดทาง) เข้าไปเราก็ไปดูโรงละครพระลักษณ์-พระราม ซึ่งอยู่ด้านซ้ายก่อน (แถมแวะให้อาหารปลา)  ก็ทราบว่าพระเทพเสด็จมาที่นี้หลายครั้ง จากนั้นจึงเข้าพิพิธภัณฑ์ (เสียค่าเข้าเช่นเดิมคนละ 30,000 กีบ เกือบร้อยบาท) ซึ่งเป็นพระราชวังเก่าของพระศรีสว่างวงศ์ (พระมหากษัตริย์แห่งหลวงพระบาง) และพระศรีสว่างวัฒนา (ผู้ลูก) ซึ่งเคยประทับอยู่ที่นี้ จบสิ้นพระชนม์ ชมห้องหับต่างๆ พร้อมของที่ระลึกจากการเจริญสันติไมตรี ของเจ้าลาวกับนานาประเทศมากมาย


จึงมาแวะสักการะ “พระบาง” พระพุทธรูปประจำเมืองหลวงพระบาง ณ หอพระบาง (ซึ่งอยู่ด้านขวาของพิพิธภัณฑ์)
จากนั้นจึงเดินทางไกลเพื่อไป “น้ำตกตาดทอง” ระยะทางกว่า 30 กิโลเมตร ระหว่างทางพบกับขบวนรถคณะขนศพ ซึ่งคุณอ้ายทอง บอกว่าการเจอศพ คนลาวถือว่าโชคดี (วันนั้นเราเจอ 2 ขบวน อ้ายทองบอกโชคดีมากๆ) แวะทานอาหารเพิ่มพลังก่อน ไก่ย่าง ส้มตำ น้ำมะพร้าว ที่หน้าน้ำตก ส้มตำอร่อยอ่ะ  แต่น้ำมะพร้าวเปี้ยวไปหน่อย  (ค่าเสียหาย 270,000 กีบ) จากนั้นจึงเดินทางขึ้นอุทยานฯ ผ่านศูนย์ดูแลหมี เห็นหมีหลายตัวเลยได้ที่นี้ จากนั้นเดินขึ้นผ่านแต่ละชั้นของน้ำตก สังเกตน้ำที่ไหลผ่านเป็นชั้นๆ ช่างดูบริสุทธิ์สะอาดจริงๆ จนไปถึงชั้นบน …รับรู้ความสดชื่นได้ทันทีจากละอองน้ำ ที่แผ่กระจายเต็มพื้นที่ สะพานหน้าน้ำตก (เรียกว่าถ้าจะถ่ายรูป กล้องทุกตัวต้องโดนน้ำแน่ๆ) จากนั้น จึงเคลื่อนขบวนไปค้นพบของดี เมืองหลวงพระบาง นั้นคือ ศูนย์การค้าเครื่องเงิน และศูนย์จำหน่ายหมู่บ้านผานม ศูนย์ทอผ้าผ้าซิ่นทอมือ โดยใช้กระตุกจากภูมิปัญญาของลาวในการทอผ้าเนื้อดี (ผมเองซื้อไปผืนหนึ่ง 180 บาท) ลวดลายเหมือนทางอีสานบ้านเรา  จำหน่ายโดยคนเฒ่าคนแก่ หลวงพระบาง
จากนั้น สถานที่ที่ไม่ไปไม่ได้ ไม่มาเหมือนมาไม่ถึงหลวงพระบาง “พระธาตุพูสี” เพียงเดินขึ้นบันไดทางขึ้นเขาเพียง 328 ขั้น เพื่อไปนมัสการ พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ศูนย์รวมจิตใจของชาวหลวงพระบาง (ท่ามกลางฝนซิมๆ) ด้วยร่างกายที่เข้มแข็งของทีมงาน จึงเดินขึ้นได้โดยไม่ลำบากน้อยเลยจริงๆ (เหงื่อแตกเบย) เดินชมรอบทิวทัศน์เมืองหลวงจากตำแหน่งพระธาตุได้เพียงน้อย ฝนก็ตกมากกก พวกเราจึงได้เข้าไปอยู่ในวิหารเพื่อหลบฝน โชคดี มีคณะคนไทยเข้ามาด้วย “..เอาพวกเรา สถานที่นี้เป็นสถานที่ศึกดิ์สิทธิ์ขอให้พวกเราตั้งใจภาวนา และสักการะ พร้อมกล่าวบทนมัสการพระ พร้อมกัน” คณะคนไทยกล่าวนำ…พวกเราจึงเนียนๆ ร่วมสวดมนต์ไปพร้อมกัน พร้อมกล่าวต่อว่า “… ขอให้พวกเราเจริญสตินั่งสมาธิสงบจิตใจสัก 5 นาที” (ในใจโชคดีจุงมีคนนำด้วย ไม่งันพวกเราคงจะไหว้ๆ ผ่านๆไป)
ท่ามกลางฝนตกหนัก ยังแวะตลาดคนเดิน ร้านค้าสองข้างทาง เจ๊ตุ้มและเจ๊เปิ้ลของผม จัดหนัก ไปซื้อเสื้อแบรนด์ต่างชาติตาน้ำข้าว จัดไปตัวละ สี่แสนกว่ากีบ คนละตัวสองตัว (กลับขึ้นรถ นั่งเงียบ ตกลงซื้อไปตัวละ 2 พันกว่าบาทได้ไงฟ่ะ) จากนั้นมุ่งหน้าไปร้านอาหารมื้อเย็นของเราคืนนี้ อ้ายทองบอกว่า จัดเป็นแบบเซต คนละ 250 บาท (มีอาหาร 5 อย่าง) เมนูเด็ด คือ สาหร่ายน้ำไหล  ปลาสมุนไพร และแกงต่างๆ
จากนั้นสาวๆอยากไปเต้นบาสโลบ อ้ายทองจึงพาไปบาร์ในเมือง ที่นี้ เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลาย ทั้งเด็กสาว และผู้สูงอายุ ฟังเพลงลาวกันไป จากนั้นถึงคิวทำนองเพลงบาสสโลป จึงดึดดูดสาวๆทีมผมลงไปที่ฟอรน์หมดเลย …

ยัง ยังไม่พอ เพื่อให้ครบถ้วน …ไป ไป อ้ายทองพาไปเธคลาวหน่อย….U Bar คือเป้าหมายต่อไปของพวกเรา และเราก็ได้พบ “พี่ตูนMiror ” ที่นี้

11 ตค. ตีสี่ ตื่นเช้า อาบน้ำเพื่อลงมาตามนัดหมายตี 5
ไปใส่ทำบุญ “ตักบาตรข้าวเหนียว” หน้าวัดแสนสุขาราม       อ้ายทองแจ้งให้เราสวมผ้าสไบพาดไหล่ ทั้งผู้ชายและผู้หญิง พร้อมแนะนำวิธีใส่บาตร ให้ปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนเล็กๆ และขนมค่อยใส่ เมื่อข้าวเหนียวใกล้หมด  แต่ให้เหลือข้าวเหนียวติดกระติบไว้หน่อย (เพื่อสำหรับนำไปถวายพระ และวางไว้เจดีย์) …เพียงไม่นาน ขบวนพระสงฆ์ จำนวนเป็นร้อย เดินมาอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าใส่เกือบไม่ทัน (ต้องมีสมาธิมากๆนะคับ ใส่จนข้าวเหนียวหมด ต้องขอข้าวเหนียวเพิ่มอีกกระติบ)
ใส่เสร็จ อิ่มบุญไปตามๆกัน …จึงเดินเที่ยวชมวัด วัดใกล้ๆ อีกวัด คือ วัดใหม่พูวันพูมาราม ซึ่งอยู่ติดกับพระราชวัง วัดที่นี้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชบุญทัน ซึ่งปัจจุบันเป็นโรงเรียนปริยัติธรรม ถัดไป อ้ายทองเดินพาเข้าซอยข้างวัด เพื่อชมตลาดยามเช้า ชมวิถีชีวิต ตลาดที่นี้รวมทุกอย่าง ตั้งแต่ ข้าวสาร ปลาแม่น้ำ นก อาหารการกิน เครื่องปรุง ทุกชนิดทุกอย่าง….(ที่ตกใจ เห็นการซื้อเป็ดตัวโต ถูกจับในถุงพลาสติก)  เดินจนสิ้นถนน ข้ามไปอีกฟาก ไปพบกับ กาแฟลาวต้นตำรับ จาก “ร้านประชานิยม” ลิ้มลองกาแฟลาวโบราณ (ขมปี้) ข้าวต้ม และข้าวจี่ (ขนมปังบาร์เกตต์) อร่อยดี  ….กลับมาโรงแรม มาปั่นจักรยานริมโขง (เป็นอีกโปรแกรมที่สุดยอด ที่สามารถสร้างได้ด้วยตัวเองจริงๆ) อากาศดีมากกก ชมวิถีริมน้ำโขง สบายเบย….
จากนั้น ก่อนขึ้นเครื่อง พวกเราหารือว่ามีที่ใด ให้พวกข้า ได้ไปแอ่วอีก ตกลงได้จึงไปศูนย์ผ้าทอผ้าแบบสมัยใหม่ (Ock Pop Tok) ซึ่งมีผู้ร่วมทุนจากทั้งฝรั่ง และชาวลาว ที่นี้ออกแบบได้ครบวงจรมาก ทั้งจุด Display การทอผ้า จุดย้อม และจุด Workshop รวมถึงร้านค้าสินค้าสำเร็จรูปที่เด่นด้านดีไซด์ (ราคาแพงกว่าศูนย์ผ้าท้องถิ่น 5-6 เท่า) จากนั้น กลับมากินร้านเฝ้อเจ้าดัง หน้าวัดแสนสุขาราม ที่เป็นที่นิยมของทั้งชาวลาวและนักท่องเที่ยว....ลองลิ้มกันไปทั้งเฝ้อ เนื้อ เฝ้อหมู ชามละ 80 บาท) สุดยอดดดดแห่งความอาหร่อย อาหร่อยยยยจริงๆ….น้ำซุปที่หอมหวาน และเนื้อที่นุ่มลิ้น

ลมหนาว พัดผ่านมา…..โดยรวมแล้ว ผมชอบที่นี้มากเลยทีเดียว ทั้งอุปนิสัยและบุคลิกคนที่นี้ ที่มีความเป็นมิตรสูง การเดินทางที่สามารถปั่นจักรยานท่องเที่ยวได้รอบเมือง  รูปทรงอาคารบ้านเรือนที่มีสไตล์แปลกตา (สไตล์ฝรั่งเศส) วัดวาอารามที่มีลวดลายศิลปะที่น่าสนใจ อาหารการกินที่บริสุทธิ์ (โดยเฉพาะผักไม่ใส่ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง) และมีรสชาดคล้ายคลึงกับบ้านเรา (ส้มตำ ไก่ย่าง) แม้ว่าราคาสินค้า ค่าครองชีพที่นี้จะไม่ถูกมาก แต่ถ้าเทียบกับ ความบริสุทธิ์ทางธรรมชาติของที่นี้ ซึ่งสามารถที่จะบำบัดธาตุกายภายในร่างกายและจิตใจของผมได้ดีทีเดียว ถือว่าคุ้มค่ากับการเดินทางมามากๆเลย


พบกันใหม่  หลวงพระบาง ขอบคุณหลายๆเด้อ (เด้อ  More Politely) ….



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น