วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

Diary 2 day … at first sight @Singapore

Diary 2 day …. at  first sight @Singapore




หลังจากได้จบหลักสูตร TLP4 มาไม่นานนัก…. พวกเรากลุ่มสีเหลือง จึงมีความคิดว่า ควรจะมีปาร์ตี้ต่างประเทศกันซักครั้งหนึ่ง เฉลิมฉลองที่เราเรียนอย่างคร่ำเคร่งกันมา จนจบได้ ….สิงค์โปร์!!! หลายคนคงไปหลายครั้งแล้ว แต่ผมยังไม่เคยไป…555

สิงค์โปร์ ประเทศที่ได้ชื่อว่ารวยเป็นอันดับ 5 ของโลก มีดัชนีความง่ายในการทำธุรกิจ และการคอรัปชั่นที่น้อยที่สุด เป็นอันดับ 1 ของโลก มีรายได้ประชาชาติและอันดับการจัดขีดความสามารถในการแข่งขันสูงสุดในอาเซียน  เป็นศูนย์กลางทางการเงินและการธนาคารของโลก แม้จะมีประชากรเพียง 4 ล้านคน และมีพื้นที่เพียงครึ่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร เท่านั้น

ช่วงเย็นของวันที่ 5 กย. หลังจากรับเข็มและประกาศนียบัตรจากหลักสูตรAEC รุ่นที่ 3 ของสถาบันพระปกเกล้า …ทันทีที่เสร็จพิธี จึงเปลี่ยนจากสูท เป็น เสื้อยืดเกงยืน ทันที แล้วบึ่งรถเพื่อไปสุวรรณภูมิ (จอดรถไว้ที่นี้) เพื่อขึ้น Fight SQ981 Thai – Singapore เวลา 21.00 น. เพียงคนเดียว TT  เพราะสมาชิกท่านอื่น ล้วนรุดหน้าไปปักหลักในช่วงเช้าแล้ว (รอบแรก พี่นก พี่รงค์ แหวว) (รอบสอง พี่ตี้) (รอบสาม พี่เอก พี่รีย์)  (รอบสี่เมย์ และรอบห้า ผมเอง กร) ผ่อนคลายไปกับสไปเดอร์แมน ระหว่าง 3 ชม.ของการเดินทาง (ดูไม่จบด้วย)…

เมื่อมาถึงสนามบิน จึง Line หาเพื่อนๆเพื่อนัดแนะว่าจะพบกันที่ไหน (อยู่ระหว่างการเปลี่ยนที่ของเพื่อน ระหว่าง Clarke Quay หรือ Holiday inn Orchard Road) ด้วยความที่ต่อคิวรถแท๊กซี่นานมากก (แถวยาวเป็นมังกรสามตลบ) …รถแท๊กซ์ซี่คันแรกของผม จึงคือ Mercedes Benz  (ค่ารถจากสนามบิน ไปโรงแรม  34.95 เหรียญ 875 บาท) พอมาถึงโรงแรม Holiday inn Orchard Road (สรุปนัดที่โรงแรม 55) จึงขอถ่ายรูปที่ระลึกกับป้ายโรงแรมซักนิสส ไม่ทันใดนั้น เหล่าสาวกสีเหลืองพร้อมร่างที่มากับแท๊กซี่ ก้อมาจอดหน้าโรงแรมพอดี… เฮฮาเฮฮา กันซักพัก  จึงเดินเล่นบนถนน Orchard Rd. ในเวลาเพียง ตีหนึ่งกว่าๆกัน จากนั้นจึงพักผ่อนกันในเวลาตีสามกว่าๆ ห้องพักที่นี่ สบายดี เท่ห์ตรงที่ประตูกันห้องน้ำออกแบบเจ๋ง (บริเวณล๊อบบี้ก้อมี วีดีโอที่นำเสนอเกี่ยวกับมาตรการการประหยัดพลังงาน ห้องน้ำข้างล่างก็จำกัดสำหรับแขกของโรงแรม ต้องใช้คียการด์เข้าเท่านั้น  เพียงคืนละ 244 SGD /6,100 บาท TT)


เช้ารุ่งขึ้น (6กย.) 10.30 น. นึกว่าจะไม่ทันอาหารเช้าแล้วว แต่ก้อลงมาพอทันทานหมี่สิงค์โปร์ พายและ Mocha Coffee (ที่พี่นกเตรียมไว้ให้) อร่อยดี…แต่ไม่ทันพี่รีย์ที่นัดหมายกันเพื่อไหว้พระที่รุดหน้าไปแล้วว  พวกเราจึงปรับเปลี่ยนโปรแกรมเพื่อนัดรวมตอนเที่ยง จากนั้นจึงไปไหว้พระ(เจ้าแม่กวนอิม) แถว Chinatown ซื้อดอกไม้และธูป (ห่อใหญ่) จึงเข้าไปสักการะ ใช้ธูป เพียง 3 ดอก แต่ที่เหลือทั้งหมดบริจาคไว้ทางเข้าวัดแทน ….ไหว้ด้านนอกแล้วจึงไปถวายดอกไม้ใส่แจกันที่อยู่ข้างใน (ถวายเสร็จ คนดูแลได้มอบส้มให้เรา 2 ลูกด้วย ดีจุง)  แล้วก้อไปเสี่ยงเซียมซี ได้ใบ No.89 (โดยรวมดีนะ) จากนั้นจึงขึ้นแท๊กซี่ (เป็นทริปที่ใช้แท๊กซี่เปลืองมากกกกก 55) บรรยากาศในเมืองสิงค์โปร์ จะพบกับต้นไม้ใหญ่สองข้างทางสลับกับตึกสูงทันสมัย ผสมผสานไปกับสถาปัตยกรรมของของอาคารเก่า ที่มีการบูรณะดูแลอย่างดี พอผ่านโบสถ์แห่งหนึ่งพวกเราก้อชมว่าสวยกัน…..จากนั้นแท๊กซี่ก้อพาเราเข้าไปในโบสถ์ แล้วบอกว่าร้านอาหารที่ให้พามา อยู่หลังโบสถ์นี้เอง 555… LEI GARDEN คือ ร้านอาหารในมื้อแรกของผมในทริปนี้



อิ่มอร่อยกันในมื้อนี้ กับติ่มซำ อาหารสไตล์กวางตุ้ง…จากนั้น จึงไปไหว้พระแบบหมู่กันที่ วัดพระเขี้ยวแก้ว (Buddha Tooth  Relic Temple) ที่นี้เป็นพุทธศาสนาที่มีกลิ่นอายความเป็นชาวจีนสูงมาก ไหว้ข้างล่างเสร็จ จึงขึ้นลิฟท์ไปชั้น 3 ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ดูเงียบสงบมาก ที่นี้จะการจัดชุดดอกไม้เทียน สำหรับเพื่อบูชา (ชุดละ 20 SGD /500 บาท) ซึ่งผมก็จัดไปชุดหนึ่งเนื่องในโอกาสวันเกิดพี่ชาย (คุณสุรกิจ สุทธารมณ์)  ในวันพรุ่งนี้ บูชาและขอสิริมงคลแด่พี่ชาย เสร็จเรียบร้อย …สองข้างของห้องนี้จะมีคนนั่งสมาธิ ผมจึงขอแจมเพื่อเป็นสิริมงคล ซัก 5 นาที (สงบนิ่งพอควรเลยทีเดียว) เดินลงมาจากวัด ถนนหน้าวัดสองข้างรายล้อมไปด้วยร้านค้าอาคารเก่า ที่มีการประดับด้วยดอกไม้กระดาษสี คาดถนนเป็นช่วงๆ (มีซอยสำหรับนักชิม Chinatown food street ด้วย)

จากนั้นจึงไปเที่ยวชม ถนนสายสำคัญของการช๊อปปิ้งที่มีชื่อเสียง นั่นคือ Orchard Road นั่นเอง ….ด้วยความที่ว่าโรงแรมของพวกเราอยู่ตรงข้าม ห้าง Paragon จึงให้แท๊กซี่กลับมาโรงแรม แล้วเดินชมบรรยากาศสองข้างทางของห้างที่อยู่ติดๆกัน ข้อดีของที่นี้ คือทางเท้าที่นี้กว้างทำให้การเดินสะดวกสบาย พร้อมกับชมความสวยงามของคนสิงค์โปร์ไปในตัว หลังจากผ่านห้างร้านมากมาย แต่ที่ขาดไม่ได้คือไปชมห้าง ION Orchard ที่เป็นแหล่งรวมของสินค้าแบรนด์เนมอีกแห่ง มีดีไซน์ของตัวตึกด้วย  เดินซักพักจึงตกลงว่าเราหาที่นั่งกินกาแฟสบายๆดีกว่า  (เมื่อยแย้วว) และมาลงตัวที่ Jones the grocer ชั้น 4  ของ ION (สั่ง Cake Signature ตามที่เค้าแนะนำ…. เมาท์มอย์กันตามประสา) ….แป๊ปเดียว ก้อจะ 18.00 น. ซึ่งเป็นเวลานัดหมายที่จะไปอีกจุดหนึ่ง ที่พลาดไม่ได้เลยย Merlion & Marina Bay




พบกันเวลา 18.00 น. ด้วยแท๊กซี่ที่นี้จำกัด 4 คนต่อคัน คันผมจึงมี เอก แหวว พี่นก และผม มุ่งหน้าไป Merlion Park ที่นี้ วิวสวยมาก มองเห็นทั้ง Marina Bay Sands (ตึกเรือ) /Art Science Museum (ตึกดอกไม้) และ Esplanade (ตึกทุเรียน) ....แต่เสียอย่างเดียว คือ ตัว Merlion กำลังอยู่ในระหว่างกันซ่อมแซม (ยังมีนั่งร้านอยู่เลย) ....เพื่อนๆที่มากันบ่อยๆ กลับบอกว่ามาหลายครั้งไม่เคยเห็นมันซ่อมเลย ครั้งนี้ถือว่าเค้าโชคดี 555…. 





ถ่ายรูปกันเสร็จสับ ทีแรกตั้งใจว่าจะนั่งเรือข้ามไปฝั่งมารีน่าเบย์ แต่เกรงว่าจะขึ้นท่าที่ไกลอยู่ จึงเปลี่ยนใจขึ้นแท๊กซี่ดีกว่า.... แล้วก้อมาถึง Shoppes ห้างดังที่อยุ่ในมาริน่าเบย์แซน  โดนนัดหมายว่าจะมาดูการแสดงสีเสียงม่านน้ำ บริเวณลานแสดง เวลา 20.00 น. พร้อมกัน....แต่ด้วยความหิวแสนหิว พวกเราจึงขอเปลี่ยนมาทานอาหารที่ Food Court และจองที่สำหรับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง (ที่ให้ไปดูก่อนเลย) ที่นี้จะมีอาหารมาเลเซีย ค่อนข้างเยอะเลย (หมี่เรอบุส  นาซิเลอมัก  หลักซา) แต่วันนี้ผมขอลอง Chiken Rice ข้าวมันไก่สิงค์โปร์ และหลักซา laksa singapore ก๋วยเตี้ยวต้มยำใส่กะทิ .....(ทานไปจองโต๊ะให้เพื่อนอีก 4 ไป ด้วยวิธีสลับฟันปลา เป็นวิธีที่ป้องกันชาวจีนมาแทรกโต๊ะเรา เผลอไม่ได้เลยนะ...พี่เอกบอก 555) น้ำดื่มที่นี้ 2 SGD (50 บาท แพงจุง) 





 


อิ่มหนำสำราญกันทั้งทีม….จึงไปดูการแสดงม่านน้ำกันอีกครั้ง รอบ 21.30 น. ถือเป็นอีกการดึงดูดที่ทางรัฐบาลเค้าเอาใจนักท่องเที่ยว แสงสีทำได้ดี เพลงประกอบตื่นเต้นเร้าใจพอควร ….จากนั้นจึงหาไปยังเป้าหมายที่สำคัญคือ Gardens by the Bay เพื่อไปยลโฉมเจ้าต้นไม้ยักษ์สีม่วง ระหว่างทางเดินไปก็สลับกับการถ่ายภาพแก๊งค์ กับตึกมาริน่าเบย์ แซนด์  โชคดีที่เรามีโปรแกรมไฟฉาย (Flashlight) ในมือถือทำให้พวกเราสามารถถ่ายภาพได้อย่างเมามันส์มากๆๆๆ (หน้าไม่ดำ) เสร็จจากเดินชมทิวทัศน์บรรยากาศในการเด้นส์บายเดอะเบย์  ชิงช้าสวรรค์ (Singapore Flyer) พอสมควร….เพื่อนๆเริ่มเหนื่อย 5555




จึงกลับมาหาที่นั่งดื่มชิวชิวบริเวณริมอ่าว ชมผู้คนที่มาเดินเล่น แก๊งค์จักรยานปั่นวนไปวนมา (ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เกือบเที่ยงคืนยังมีวนเวียน) บางกลุ่มก็ขับเร็วจนน่าหวาดเสียว…..กึ่มกึ่ม พอได้  เผื่อเพื่อนๆ จะซื้อของฝากไปให้คนเมืองไทย….น้องเต๋า (Serior AOT) ไกด์ของเราที่มาอบรมที่นี้ 2 เดือน จึงขอแนะนำไปช๊อปแบบประหยัดที่ร้านมุสตาฟาน (Mustafa Centre)  ในย่าน Little India ที่นี้เต็มไปด้วยคนแขก…และเพื่อให้ลิ้มลองรสชาดของบรรยากาศ จึงพาเรานั่งร้าน C.M.K.2001 (อยู่หัวมุมสี่แยกเลย คนเยอะมากๆ) เพื่อรับประทานอาหารแขกสักนิสหนึ่งก่อน เมนู ณ เวลาตีหนึ่ง (01.00) ของเรานี้ จึงคือ โรตีกล้วยกับแกง จิ้มกินขำๆๆ พร้อมเครื่องดื่มชาอินเดีย (มีรสเครื่องเทศนิสๆ) อิ่มหนำพอได้การ จึงไปที่ห้างมุสตราฟาน ที่นี้มีทุกอย่างจิงๆ ตั้งแต่นาฬิกา เสื้อผ้า กระเป๋า จนถึงของที่ระลึกทุกอย่าง (ที่สำคัญราคาประหยัด) ผมจึงซื้อพวงกุญแจรูป Merlion  ชุดหนึ่งมี 6 ชิ้น ราคา 12.9 DSG (อันละ 54 บาท) และซ๊อกโกแล๊ต Merlion (ของที่ระลึกแด่ทีมงานที่เมืองไทย) ส่วนซื้อกระเป๋าเป้ (deuter) 69 SGD สำหรับตัวเองเวลาไปปั่นจักรยาน ….หล่ะแล้ว ก้อถึงโรงแรม ตีสามกว่าๆ ซึ่งพรุ่งนี้ เรามีนัดหมาย 9.00 น. สำหรับการไปเยือนยังเกาะ Setosa กันอีก…555 ไหวไหมเนี่ยะ (คิดในใจ)

เช้ารุ่งขึ้น 7 กย. เป็นไปตามที่คิด สมองสั่งการทำให้ผมตื่นทันทีในเวลา 8 โมงเช้า อาบน้ำจัดของแพ็คกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย รอเวลา 8.30 น. ที่จะปลุกพี่รงค์ ตามนัดหมายกันว่าห้ามปลุกก่อนเวลา ให้ปลุกตามเวลาที่นัดหมายเท่านั้น  555
ลงมาทานอาหาร Lobby โรงแรมฯ (โจ๊กอร่อยมากก) เผอิญไกด์กิตติมศักดิ์เราติดภารกิจสำคัญ (นัดสาวสิงคโปร์ไว้) จึงไม่สามารถพาเที่ยวได้ จึงเป็นโชคดีของพวกเราที่ได้ไกดิ์กิตติมศักดิ์ระดับสุดยอด CEO  พาเที่ยว SENTOSA เริ่มจากนั่งแท๊กซี่ ไปยัง Vivo City เพื่อไปซื้อ Sentosa Discovery Tour Package มีทั้งหมด 4 แบบ ด้วยเป้าหมายของเราคือ  Under Water เราจึงเลือกแบบที่ 1  Ocean from the SKY
มี ขึ้นกระเช้าลอยฟ้า (Cable Car) และเข้าชม 4 จุดสถานที่ท่องเที่ยว (แถมกระดิ่งแห่งความปรารถนา) ในราคา 79 SGD (เกือบ 2,000 บาท) ระหว่างซื้อตั๋ว เจ้าหน้าที่ก็มีแนะนำให้โหลด APP  “Fly with the Super Heroes” ( June 2014-March2015)  โดยเวลาเราถ่ายรูประหว่างนั่งเคเบิ้ลจะมีซูเปอร์ฮีโร่ มาร่วมทริปกับเราด้วย 555 ขึ้นกระเช้าไปถ่ายรูปไป เราก็แวะไปผูกกระดิ่งแห่งความปรารถนา (Wishing Bell) เขียนชื่อพี่ชาย เนื่องเป็นวันเกิดอีกครั้ง….ชื่อโรงแรมสำหรับอีกอัน (พี่รีย์ให้มา)


จากนั้นก้อข้ามฝั่งมาฝั่งเซ็นโตซ่า บรรยากาศทิวทัศน์ใต้เคเบิ้ล เป็นผืนป่าที่ดูเขียวสมบูรณ์มาก มองไปไกลเห็นท่าเรือ พอมาถึงเจ้าหน้าที่บอกให้รอ โดยจะมีไกด์พาแนะนำสถานที่ต่างๆ ก่อนจะขึ้นรถบัส ไป S.E.A Aquarium ไกด์ที่นี้พูดเร็วและคล่องแคล่วมาก เชิญชวนพวกเราให้เที่ยวอย่างสนุกสนาน … "เพราะที่นี้คือสวรรค์แห่งนักท่องเที่ยว" (ไกด์ว่าเช่นนั้น) อควาเรียมที่นี้ ใหญ่พอสมควร แต่โดยรวมก็คล้ายๆกับที่สยามพารากอนบ้านเรา จะต่างตรงที่มีโซนปลาโลมา เดินดูเพลินๆ ไปกับโลกใต้น้ำ ฝูงปลาฉลามนานาชนิดยังคงสร้างความตื่นใจได้อยู่  ก่อนออกจะมีเชิญไปถ่ายรูปกับ Backdrop (ว่างๆ) เพื่อที่จะอัดเป็นภาพขายเรากับฉากโลกโต้ทะเล ราคา ประมาณ 25 SGD (เราไม่เอา ถ่ายเองก้อได้)


….แว๊ปมาดูนาฬิกาเกือบบ่ายโมง จึงมุ่งหน้าไปทานอาหารกับ Malaysia Street Food แหล่งรวมอาหารท้องถิ่นนานาชนิด แต่ไม่วายที่จะลืมถ่ายรูป Signature กับสัญญลักษณ์ Universal​….การสั่งอาหารที่นี้ดีที่มี อุปกรณ์จัดคิว ให้กับเรา เมื่อเค้าทำเสร็จจะมีเสียงและสั่นเตือนให้เราไปรับอาหารได้ ไม่ต้องยืนรอ …มื้อนี้ เลยจัด ข้าวอบไก่หม้อดิน (Heun Kee Claypot Chicken Rice)  9 SGD (225 บาท)

อิ่มอร่อยเสร็จ จึงไปดู The Merlion ขนาดใหญ่ที่สุดในสิงค์โปร์ (ไม่ซ่อมด้วย) ระหว่างเข้าไป ไกด์ก็จะพาไปฟังเรื่องราวแห่งเทพนิยายใต้ท้องทะเลที่มาของ Merlion เป็นสไตล์การ์ตูน สั้นกระชับ ทำได้ดี จากนั้นให้นำบัตรไปเสียบที่ตัว Merlion และจะได้เหรียญทองสำหรับเป็นที่ระลึก แล้วจึงขึ้นไปชั้น 12 เพื่อชมวิวแบบ 360 องศา (แต่ร้อนมาก เราจึงรีบถ่ายภาพแล้วลงมา)  จากนั้นจึงไปดู หนัง 4 D Green Lantern พอไปถึง กลับบอกต้องรอรอบ 16.00 น. (แต่เราต้องออกจากที่นี้ 16.00 น.) จึงยกเลิกไป ….ด้วยอากาศร้อนพอควร (สมแล้วที่ไกด์บอกว่าสิงค์โปร์ มีอากาศร้อน กับร้อนมาก) แวะไปนั่ง KFC  พักร่างกายก่อน …พร้อมหารือว่าจะไปดู Beach อีกที่หนึ่ง ขึ้นรถราง ซึ่งมี 2 สายในเกาะ ไปลง Beach Station ชมบรรยากาศของชายหาดทะเลเทียม  และ WaveHouse  ซึ่งดูแล้วก้อมีกิจกรรมต่างๆ รอบชาดหาดที่น่าสนใจทีเดียว …แป๊ปเดียวก้อจะใกล้ 16.00 น. จึงเดินกลับไปยังจุดบริการรถแท๊กซี่ (รถรางบริการคนเต็ม รอนานแล้วอ่ะ) ไกลได้การเลยทีเดียว…

เพียง 3 วัน 2 คืน ในทริปนี้ (Chinatown – Orchard Road – Marina Bay – Little India – Sentosa Island) ก้อพอที่จะมองเห็นประเทศสิงค์โปร์ในภาพรวมอยู่บ้าง  หลังจากนี้คงต้องไปเจาะลึกถึงแนวคิดและวิธีปฎิบัติของคนสิงค์โปร์…..แม้มีคำกล่าวว่า “…สิ่งหนึ่งที่ประเทศสิงค์โปร์เจริญกว่าเรา ก้อเพราะว่าประเทศเค้าไม่มีทรัพยากรใดๆ เหมือนไทย ดังนั้นการพัฒนาของเค้าจึงต้องแข่งขันภายใต้ทรัพยากรและสภาพแวดล้อมที่จำกัด”

หากแต่ถ้าปราศจากการรวมใจของคนในชาติสิงค์โปร์ และวิธีการคิด+ปฎิบัติ ผ่านผู้นำที่มีประสิทธิภาพ ย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จที่เป็นได้ยาก เมื่อเทียบเคียงกับนานาประเทศที่มีสภาพที่ใกล้เคียงกัน…(รึป่าว)



สำหรับผมแล้ว ถือว่าสิงค์โปร์เป็นประเทศที่เสน่ห์อยู่มากเลยทีเดียว โดยเฉพาะการจัดวางต้นไม้ใหญ่ พื้นที่สีเขียว ท่ามกลางเมืองหลวง การอนุรักษ์อาคารเก่าให้มีสภาพดีสะท้อนซึ่่งศิลปะวัฒนธรรมของท้องถิ่นของทั้งจีนและอินเดีย ผสมผสานกันอย่างลงตัว สัมพันธ์ไปกับตึกสูงห้างใหญ่มีอยู่รายล้อมจุดท่องเที่ยวต่างๆ ถนนทางเดินต่างๆ ที่สะอาดสะอ้าน ความปลอดภัย …พร้อมทั้งน่าชื่นชมกับแนวทางการสร้างเมืองที่มีความแตกต่าง แม้ว่าหลายสิ่งต้องสร้างขึ้นมาเอง

….ถือเป็นประเทศที่มีความครบครันในการมาท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ถ้าไม่นับค่าครองชีพแล้ว คงอยากมาอีกหลายๆครั้ง หลายๆคืน.....SEE YOU NEXT TIME …When I have More Time "SINGAPORE"









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น