ลาวใต้ มนต์เสน่ห์...แหล่งผลิตกาแฟชั้นดี
ดร.กรัณย์
สุทธารมณ์ (นมธ.4)
พื้นที่ราบสูง
โปลาเวน....ชื่อที่คุ้นหูมานานแสนนาน
ด้วยมิตรภาพของเพื่อน...ทำให้ต่างแพ็คกระเป๋าเตรียมเดินทางกันอีกครั้ง
(21 กพ.) โดยสายการบินนกแอร์ เพื่อไปลงเครื่องที่จังหวัดอุบล ระหว่างบนเครื่องก้อเจอพี่ไช้ชวนชิม
นักการตลาดตัวยงผู้ร่วมก่อตั้ง KsmeCare ดีใจจุง (เพียง 50
นาทีก้อมาถึงสนามบินจังหวัดอุบลฯ) ลงเครื่องซักพักก็รวมตัว ทีมนักผจญภัย ตั้งแต่
พี่เปิ้ลและพี่ปอย (แห่งdomybest) พี่ไก่ (เอกอัครฑูต) พี่รงค์ (เกาะจิกรีสอร์ท)
พี่รีย์ (แห่งรีเวอร์ไซด์) พี่บ๊อยซ์ (เซียนหุ้นตัวเก๋า) น้องเต๋า (หนุ่ม Hot แห่ง
AOT) และไกด์กิตติมศักดิ์ของเราในทริปนี้......”บอยปากซอง” แห่งนมธ.4
ขึ้นรถตู้ที่ได้เช่าจากจ.อุบลให้มารอรับ
เพื่อเป็นพาหนะให้พวกเราตลอดทริป จากนั้นก้อมารับประทานอาหารกลางวันที่
ร้านสามชัย...ก๋วยจั๊บญวน โจ๊ก ปาท่องโก๋น้ำข้นหวาน ทยอยเสริฟ์แบบไม่อั้น ...เมื่ออิ่มหนำพอควร
เดินทางอีก 90 km. ประมาณ 1 ชม. ก้อมาถึง “ช่องเม็ก”
เดินทางผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง (ชำระคนละ 20 บาท) ลอดอุโมงค์ข้ามประเทศ
เพื่อข้ามมายังฝั่งลาว (ทางเดินต่างๆ ค่อนข้างแตกต่างจากฝั่งไทยนิส) จุด Duty Free
เป็นจุดช๊อปแรกที่นักท่องเที่ยวต้องมาใช้บริการ โดยเฉพาะสินค้าประเภท แอลกอฮอล์
และเราก้อได้มาเพียงพอสำหรับทริปนี้ด้วย (Glenlivet 2 ขวด กับไวน์และแชมเปญอีก 4 ขวด) เดินเล่นซักพัก
รถตู้ก้อมารับเรา เพื่อมุ่งหน้าสู่ “เมืองปากเซ” นั่งรถเข้าไป 30 นาที
ก้อมาถึงสะพานข้ามแม่น้ำโขง เริ่มเห็นคฤหาสน์ของคุณนายดาวเรืองอยู่ลิ่บๆ
สัญญาลักษณ์ว่าเรามาถึงลาวแล้วแน่ๆ
เพื่อเป็นการตอกย้ำการมาถึง
เพื่อนบอยจึงพาไปทานร้านอร่อยของที่นี้ ....”ร้านเฝอลานคำ” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง
ข้างคฤหาสถ์คุณนายดาวเรือง จัดไปคนละชาม กับน้ำมะพร้าว น้ำซุปที่นี้รสชาติกลมกล่อม
แถมใส่พริกลาวเพิ่มรสเผ็ดยิ่งแซบหลาย (ใส่นิดๆนะ) อร่อยมาก รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น
2 แสนแปดหมื่นแปดพันกีบ....(1,150 บาท) แอบสำรวลคนลาวที่มาทานร้านนี้มีสวยๆหล่อๆ
แฟชั่นไม่เบาเหมียนกัยนะเนี่ยะ
จากนั้นเหล่านักผจญภัยนักธุรกิจ
เป็นไปไม่ได้ที่จะพลาดการติดต่อสื่อสาร จึงมุ่งไปร้านโทรศัพท์ลาวกันเพื่อที่จะซื้อซิมลาวกัน
เพื่อใช้บริการอินเตอร์เน็ต (80 บาทค่าซิม 1G 20 บาท ถ้า Unlimit ก็ 500 บาท)
นอกจากนี้โทรศัพท์มือถือที่นี้ ก้อยังถูกกว่าที่เมืองไทย ประมาณ 3,000 – 4,000 บาท
(Note 4 3G ลาว 22,000 บาท ไทย 25,900 บาท) แต่ต้องใช้ดุลยพินิจนะจ๊ะ ออกจากร้านเพียง
20 นาที เวลา 15.45 น. ก้อมาถึง โรงแรมจำปาสักแกรนด์ ที่พักตลอด 2 คืนของเรา
นั่งรอบริเวณล๊อบบี้ ซักพัก พี่รีย์พี่ใหญ่แห่งรีเวอร์ไซด์ ก้อสบตากับ GM.ของโรงแรมที่นี้...ทันใดนั้น....”เฮ้ย
ปุ๊ มาอยู่ที่นี้เหรอ” จากนั้น บทสนทนาของเจ้านายเก่า กับลูกน้อง
ก้อทำให้เรามีเพื่อนสมาชิกร่วมก๊วนเพิ่มไปอีกคน....
เข้าพักห้อง 1419
สำรวจห้องพัก เก็บของ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
เพื่อลงมาตามที่นัดกันเวลา 16. 00 น.
(เด่วมืด) เพื่อมุ่งหน้าเรียนรู้ประเทศลาวให้มากขึ้น จุดเป้าหมายของเราจึงกำหนดไปที่
“วัดภู” (ปราสาทหินวัดภู) นั่งรถไปก้อฟังเพื่อนบอยเล่าให้ฟังถึง
ทำไมถึงมาทำธุรกิจที่นี้ ประสบปัญหาอะไรบ้าง...ตลอดทาง จนมาถึงทางเข้าวัด ที่นี้ต้องชำระค่าเข้า
(ซึ่งต่างชาติก้อแพงกว่าตามระเบียบ) จากนั้นมีรถกอลฟ์มารับเข้าไปหน้าทางเข้าอีกที....เพียงแค่เห็นทางเข้า
ก็ขนลุกถึงความยิ่งใหญ่ของปราสาทหินวัดภูครั้งในอดีต ....เดินขึ้นแต่ละชั้นๆ
ที่นี้ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เพราะบันไดทางขึ้นชันและแคบ และแล้วก้อมาถึงพระพุทธรูปที่อยู่บนยอดปราสาท...กราบนมัสการ
พร้อมเดินชมภาพหินรูปช้างและพระ รับน้ำศักดิ์สิทธิ์จากธารหินบนยอด
บรรยากาศโดยรอบเก่าแก่ แต่ยังขาดการบูรณะอีกมาก .. ที่ว่าเหนื่อยๆกัน
พอมองลงไปเห็นวิวสวยงามของบริเวณโดยรอบปราสาทก็ทำให้หายเหนื่อยเลยทีเดียว
เริ่มหิวอีก...เป้าหมายของเราจึงมุ่งเป้าไปที่
ร้านอาหารริมน้ำโขง...”เรือนแพแม่โขงล้านช้าง” ถูกแนะนำให้แก่พวกเรา และไม่ผิดหวัง
บรรยากาศดี (ฟังเพลงไทยสไตล์ลาวเพลินเลย) อาหารอร่อย
โดยเฉพาะ ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม ต้มยำปลาบึก ร่วมกับวิสกิ้ดีๆ ซักแก้ว
กับเพื่อนดีๆ เยี่ยมไปเบย
ดื่มไปดื่มมา
กลับไปต่อที่โรงแรม กว่าจะนอนก้อตีสอง...
อิ่มหนำกัน
ก่อนจะแวะไร่กาแฟ เพื่อนบอยจึงพามาแวะเข้าห้องน้ำห้องท่า ดื่มกาแฟ (แก้วที่สามของวันนี้)
“สบายดีวัลเล่ย์” ที่พัก ที่บอยบอกว่าเหมือนเป็นบ้านทีสอง (มาบ่อยมากๆๆ)
ราคาที่พัก 375,000 กีบ (ประมาณ 1,500 บาท)
ที่นี้ออกแบบได้สวยงาม แบ่งเป็นโซนจำหน่ายของที่ระลึก โซนนั่งเล่น โซนกาแฟ
และโซฟาริมระเบียง
จากนั้นเพียง 15
นาที ก้อมาถึงทางเข้าซอย เลาะกำแพงไปประมาณ 800 เมตร ก้อมาถึง เรือนเพาะชำกล้ากาแฟ
เพื่อนบอยเริ่มแนะนำทีมงาน 6-7 คน ที่ประจำอยู่ที่นี้ ส่วนใหญ่คือคนที่มาจากเมืองไทย
โดยมีหัวหน้าทีมที่เคยทำงานกับบอย มาคอยดูแลอยู่
“....กล้ากาแฟทั้งหมดนี้ เราเพาะเอง ปลูกเอง ใช้ระบบสปริงเกอร์ที่เราทำกันเอง
ตอนนี้ปลูกได้ 2,000 ไร่ จากพื้นที่ 7,000 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นพันธ์อาราบีก้า โดยปลูกต้นไม้ใหญ่แซมไร่กาแฟ
เพื่อให้ร่มเงา เพราะกาแฟไม่ชอบแดดจัด
ตอนนี้ว่าจะเปลี่ยนใช้ต้นสะตอเพราะว่าได้ผลไปขายได้ ต้นกาแฟเมื่อครบ 3 ปีจะเริ่มให้ผลผลิต ตอนนี้ 5 ปี เราได้ผลผลิตไปสองรอบแล้ว
ที่สำคัญคือดินที่นี้ ดีมาก เป็นดินภูเขาไฟ ดินดำ ที่ที่นี้ตั้งอยู่เมืองปากซอง
บนที่ราบสูงโบลาเวน ซึ่งเป็นที่มีอากาศชื้นตลอดทั้งปี
ทำให้เหมาะสมกับกับปลูกกาแฟมาก” บอยพาพวกเราเดินชมไร่กาแฟโดยรอบ
จากนั้น....”ผลผลิตส่วนใหญ่ตอนนี้ส่งออกต่างประเทศทั้งหมด ผมมีแผนที่จะแปรรูปให้เป็นผลผลิตกาแฟชั้นดี
สร้างแบรนด์เองเหมือนกัน ตอนนี้ ได้สร้างโรงงานแปรรูปอยู่อีกด้านหนึ่ง
...เด่วจะพาไป นั่งรถอีกประมาณ 15 นาที ก้อเข้าพื้นที่โรงงาน ...พื้นที่โรงงานกว้างขวางมาก
มีโซนบ้านพักหัวหน้างาน โรงปอกเปลือกและหมักเมล็ดกาแฟ โรงเก็บผลผลิตเม็ดกาแฟ
อาคารสำนักงาน และที่สำคัญลานตากเมล็ดกาแฟที่กว้างขวางมากกกก
....บอยบอกว่ากำลังจะขยายลานตากไปอีกเท่าหนึ่ง...”แม่เจ้า...” ไม่ธรรมดาเลย
บอยเริ่มพรรณาถึง สรรพคุณของเครื่องจักรแต่ละตัว ที่สั่งนำเข้ามาเอง
โดยให้ช่างที่โรงงานประกอบกันเอง แต่ได้ประสิทธิผลดีเยี่ยม ....นำชมเสร็จแล้ว
บอยได้เปิดเผยให้พวกเราทราบว่า “...การมาลงทุนที่ประเทศลาว สำคัญคือ ต้องอดทน
ต้องเข้มแข็ง จะทำอ่อนแอไม่ได้
การสัมปทานที่ดินต้องทำให้ภาครัฐเห็นความสำคัญและประโยชน์ที่ประเทศเค้าจะได้ด้วย
ไม่ใช่เราได้คนเดียว เราต้องดูแลคนของประเทศเค้าเหมือนหรือยิ่งกว่าประเทศเรา
ไม่มีใครเป็นพี่ เป็นน้องใคร เราเท่ากัน มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน....การใช้ภาษาที่ดี การถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
ก็จะทำให้เราทำธุรกิจที่นี้ได้อย่างผาสุก”
สำหรับผมแล้ว..วันนี้
เราได้เห็นตัวอย่างของนักธุรกิจรุ่นใหม่เริ่มบุกเบิกธุรกิจในต่างแดนเองตั้งแต่อายุ
35 ปี ฝ่าฟันกว่าจะได้สัปทานที่ดินในเนื้อที่ 7,000 ไร่
ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับกาแฟ เทคโนโลยี กระบวนการผลิต
จนมาวันนี้ผลผลิตของเค้าได้รับการตอบรับจากตลาดต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว
...และเราเชื่อว่า วันหน้าเราจะได้เห็น ได้ชิม “กาแฟบอย” หรือในแบรนด์อื่นๆที่มีวางตลาดให้เราได้ชื่นชมได้อย่างแน่นอน
“...เอิ้นบอยก้อได้”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น